บล.ไอร่า:
STEC ชิโน-ไทย
2Q/65 มีกำไรสุทธิ 173 ล้านบาท โดดเด่น yoy แต่ -25%qoq จาก GPM เฉลี่ย 3.93% ลดลงจาก 5.53% เมื่อ 1Q/65 ขณะที่ 1H/65 กำไรสุทธิเติบโตกว่า 1 เท่า อยู่ที่ 405 ล้านบาท
- STEC ประกาศผลการดำเนินงาน 2Q/65 มีกำไรสุทธิจำนวน 173 ล้านบาท ลดลง 25%qoq แต่เพิ่มขึ้นโดดเด่นจาก 2Q/64 ซึ่งมีกำไรสุทธิเพียง 1 ล้านบาท โดยในไตรมาสนี้มีรายได้เงินปันผลจํานวน 104 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 84 ล้านบาท เมื่อ 2Q/64
- ขณะที่ 2Q/65 มีรายได้งานก่อสร้าง จำนวน 6,745 ล้านบาท ลดลง 11%qoq ส่วนหนึ่งจากช่วงวันหยุดยาว และลดลง 4%yoy จากปัญหาขาดแคลนแรงงานจากผลกระทบ Covid-19 โดยมี Gross Profit Margin เฉลี่ย 3.93% ลดลงจาก 5.53% เมื่อ 1Q/65 แต่ดีขึ้นจาก 3.08% เมื่อ 2Q/64
- ภาพรวม 1H/65 รายได้ก่อสร้างลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ 14,350 ล้านบาท แต่ความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น มี Gross Profit Margin เฉลี่ย 4.78% และมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นกว่า 1 เท่า อยู่ที่ 405 ล้านบาท
- คาด Backlog หลังรับรู้รายได้ 2Q/65 ~115,000 ล้านบาท (รวมงาน to be signed โครงการสนามบิน อู่ตะเภา มูลค่า 27,043 ล้านบาท) ซึ่งมูลค่า Backlog จำนวนดังกล่าวคาดเพียงพอต่อการรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 3-5 ปีข้างหน้า โดยที่ไม่มีงานใหม่เข้ามา
- STEC มีเป้าหมายงานเพิ่มในปี’65 ~40,000 ล้านบาท ภายใต้มูลค่างานภาครัฐและเอกชน ที่คาดทยอยเปิด ประมูลมูลค่า 200,000 ล้านบาท และ 100,000 ล้านบาท ตามลำดับ โดย STEC คาด Gross Profit Margin ดีขึ้นจากปี’64 คาดเฉลี่ย 5-7% หลังงานที่มี Margin ต่ำจบลง และคาดรายได้งานก่อสร้างอยู่ที่ 33,000 ล้านบาท ขณะที่คาดยังมี Downside หากสถานการณ์แรงงานยังไม่กลับมาเป็นปกติ คาดอาจส่งผลกระทบต่องานก่อสร้าง โดยเราประเมินรายได้งานก่อสร้างและกำไรสุทธิ (จากการดำเนินงานปกติ) ปี’65 อยู่ที่ 30,438 ล้านบาท (+10%) และ 658 ล้านบาท (-7%) ตามลำดับ
- ประเมินราคาเป้าหมายปี’65 ที่ 14.75 บาท อิง PBV 1.5 เท่า และคงคำแนะนำ “ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว” โดย STEC ยังมีความน่าสนใจจากฐานะการเงินดี เป็น Net Cash และความสามารถในการรับงานเพิ่ม
- ประเด็นความเสี่ยง แรงงาน / การเมือง และราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อต้นทุนก่อสร้าง และอาจทําให้ความสามารถในการทํากําไรต่ำกว่าเป้าหมายของ STEC