บล.เอเซีย พลัส:
ยังไม่พ้นขีดอันตราย
งวด 2Q65 ขาดทุน 57 ล้านบาท เป็นผลจากปัญหาขาดแคลนแรงงาน ส่งผลให้รับงานได้ต่ำกว่าศักยภาพมาก ประกอบกับงานที่ทำมี margin ต่ำที่รับมาในปี 2564 อย่างไรก็ดี ฝ่ายวิจัยประเมินว่าช่วง 3Q65 จะมีผลขาดทุนที่น้อยลงจากการทยอยทำงานยกระดับพระราม 2 – บ้านแพ้ว และงานเอกชนมูลค่าราว 200 ล้านบาทได้บางส่วน และช่วง 4Q65 มีแนวโน้มที่จะพลิกกลับมาทำกำไรได้ เนื่องจากสามารถทำ 2 งานดังกล่าวได้เต็มไตรมาส และทำงาน Central Embassy พร้อมกับทยอยนำเข้าแรงงานต่างด้าวเดือนละ 50-100 คนตั้งแต่ ส.ค. – ธ.ค. 2565
ถึงแม้ Outlook ช่วง 4Q65 – 1H66 มีแนวโน้มดีขึ้น แต่ฝ่ายวิจัยยังคงให้น้ำหนักกับผลประกอบการที่ขาดทุนมา 5 ไตรมาสติดต่อกัน และคาดว่า 3Q65 จะยังคงขาดทุนต่อ ประเมิน FV อิง Historical PBV 1.8 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 3.96 บาท ยังคง แนะนำ switch ไปที่ PYLON (FV@B 6.45) ที่มีผลประกอบการที่ดีกว่ามาก
ขาดทุน 57 ล้านบาท จากปัญหาขาดแคลนแรงงานที่วนเวียน
งวด 2Q65 SEAFCO ขาดทุนสุทธิ 57 ล้านบาท เป็นผลมาจากจำนวนแรงงานที่มีจำกัด ส่งผลให้รับงานได้ต่ำกว่าศักยภาพมาก โดยมีรายได้เพียง 170 ล้านบาท (-28%QoQ, -52%YoY) ประกอบกับช่วง 2Q65 มีวันหยุดค่อนข้างมากในเดือน เม.ย. – พ.ค. ในส่วนของ backlog ที่มีเป็นงาน margin ต่ำที่รับมาในปี 2564 ซึ่ง 55-60% เป็นงาน central embassy ที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ในช่วง 2Q65 เนื่องจาก SEAFCO มีการเจรจาขอ ปรับราคาเพิ่มกับผู้ว่าจ้างให้สอดคล้องกับต้นทุนเหล็กและคอนกรีตที่ปรับเพิ่มขึ้นมาก โดย คาดว่าจะเริ่มงานได้ตั้งแต่ ก.ย. 2565 เป็นต้นไป ส่งผลให้ gross margin งวด 2Q65 ติดลบถึง 16.4% ต่ำกว่างวด 1Q65 ที่มี gross margin ติดลบ 12.6%
ยังคงเฝ้ารอวันที่จะ TURNAROUND
หลังจากที่ SEAFCO เริ่มงานทางยกระดับพระราม 2 – บ้านแพ้ว และคว้างานเอกชนมูลค่าราว 200 ล้านบาทได้ คาดว่าจะส่งผลให้แนวโน้มผลประกอบการ 3Q65 เริ่มฟื้นตัว แต่ฝ่ายวิจัยประเมินว่าผลประกอบการ 3Q65 ยังไม่น่าจะถึงจุดคุ้มทุน (breakeven) เนื่องจากงานทางยกระดับพระราม 2 – บ้านแพ้ว อยู่ในช่วงเริ่มต้นก่อสร้าง ส่งผลให้การรับรู้รายได้มีไม่มากนัก และโครงการเอกชนมูลค่าราว 200 ล้านบาทคาดว่าจะเริ่มได้ในช่วง ส.ค. ทำให้ไม่ สามารถรับรู้รายได้เต็มไตรมาส อย่างไรก็ตาม ช่วง 4Q65 มีโอกาสที่จะ turnaround พลิกกลับมาเป็นกำไร เนื่องจาก SEAFCO สามารถเริ่มงาน Central Embassy ได้ และทำ 2 งาน ที่กล่าวมาข้างต้นได้เต็มไตรมาส
สำหรับแรงงานต่างด้าว จะทยอยนำเข้ามาเดือนละ 50 – 100 คนตั้งแต่เดือน ส.ค. – ธ.ค. 2565 หากรวมกับแรงงานที่มีอยู่ปัจจุบันราว 200 คน จะส่งผลให้ SEAFCO มีแรงงานเพิ่ม เป็น 500 – 700 คน อยู่ในระดับใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิดระบาด จำนวนแรงงานดังกล่าว จะหนุนให้ SEAFCO กลับมารับงานได้เต็มประสิทธิภาพเทียบกับเครื่องจักรที่มีในมืออีกครั้ง โดยปี 2566 มีงานสำคัญ ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ รถไฟฟ้าสายสีม่วงตะวันตก และ งานเอกชนอย่าง โครงการเซ็นทรัลพหลโยธิน ที่ SEAFCO มีโอกาสเข้าไปร่วมงาน
อยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ … แนะนํา SWITCH
ถึงแม้ Outlook ในช่วง 4Q65 – 1H66 มีแนวโน้มดีขึ้น แต่ฝ่ายวิจัยยังคงให้น้ำหนักกับผลประกอบการที่ขาดทุนมา 5 ไตรมาสติดต่อกัน และคาดว่า 3Q65 จะยังคงไม่ถึงจุดคุ้มทุน (breakeven) ประเมิน Fair Value อิง Historical PBV 1.8 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 3.96 บาท ฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำ switch ไปที่ PYLON (FV@B 6.45) ที่มีผลประกอบการที่ดีกว่า มาก อย่างไรก็ตาม หาก 4Q65 เริ่มมีสัญญานการฟื้นตัวที่ชัดเจน ก็อาจเป็นจังหวะที่ดีในการ ทยอยกลับมาสะสม
ประเด็นความเสี่ยง
1. ผลกระทบจาก Covid-19 กดดันให้เศรษฐกิจชะลอตัว อาจส่งผลให้ SEAFCO ไม่สามารถหางานใหม่ หรือสามารถหางานที่มี gross margin ต่ำกว่าที่เคยทำได้ในอดีต อาจส่งผลกระทบต่อประมาณการให้ต่ำกว่าที่คาดไว้
2. ผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงาน เนื่องมาจาก Covid-19 จะส่งผลให้ SEAFCO มีข้อจํากัดในการเซ็นสัญญารับงาน แม้จะมีอุปกรณ์ เครื่องจักรพร้อมทํางาน
SEAFCO แนะนํา SWITCH
ราคาปัจจุบัน (บาท) 3.54
ราคาเป้าหมาย (บาท) 3.96
Upside (%) 11.90
Dividend yield (%) 0.00