บล.เอเซีย พลัส:
2H65 มีแรงหนุนจาก JV และแนวราบ
2Q65 กำไรสุทธิ 1.15 พันล้านบาท หากไม่รวมกำไรพิเศษ 488 ล้านบาท มีกำไรปกติตามคาด 667 ล้านบาท (+1.5% yoy,+33% qoq) จากเริ่มโอนฯ Park ทองหล่อ ทำให้รับรู้ส่วนแบ่งกำไร 97 ล้านบาท เทียบกับ 4 ล้านบาทงวดปีก่อน และขาดทุน 48 ล้านบาทงวดก่อน รวมถึงมาร์จิ้นดีขึ้นทั้งแนวราบและคอนโดฯ ขณะที่ยอดโอนฯ ลดลงจากคอนโดฯ เพราะเป็นแบบ JV มากขึ้น แต่แนวราบยัง New High เพื่อสะท้อนข้อมูล 1H65 จึงปรับกำไรปกติลงจากเดิม 8% อยู่ที่ 3.27 พันล้านบาท แต่กำไรสุทธิ (หลังรวมกำไรพิเศษ) เพิ่มเป็น 3.99 พันล้านบาท โดยแนวโน้ม 2H65 จะเร่งตัวมากขึ้นทั้งเปิดโครงการใหม่ หนุน Presale และโอนฯ แนวราบ รวมถึงส่งมอบคอนโดฯ JV ใหม่ต่อเนื่อง ด้าน FV ใหม่ปีนี้ที่ 12.00 บาท (PER 9 เท่า) upside 15% แนะนำซื้อ คาดกำไรปกติเป็นขาขึ้นต่อใน 3Q65 และสู่จุดสูงสุดของปี 4Q65 โดย ORI ปันผล 1H65 หุ้นละ 0.15 บาท หรือ 1.4% ขึ้น XD 26 ส.ค. 2565
2Q65 กำใรปกติตามคาค
งวด 2Q65 กำไรสุทธิ 1.15 พันล้านบาท (+36% yoy,+57%qoq) ทำจุดสูงสุดรายไตรมาส ตั้งแต่จัดตั้งบริษัท จากการบันทึกกำไรพิเศษสุทธิ (หลังภาษี) 488 ล้านบาท (กำไรขายเงินลงทุนบริษัทย่อยให้บริษัทร่วมทุน หรือ JV รวม 282 ล้านบาท และกำไรจากการต่อรองราคาซื้อโรงแรม IBIS 3 แห่งอีก 206 ล้านบาท) หากไม่รวมกำไรดังกล่าว มีกำไรปกติตามคาด 667 ล้านบาท (+1.5% yoy, +33% qoq) หนุนจากส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วม (JV) ที่ 97 ล้านบาท เทียบกับกำไร 4 ล้านบาทงวดก่อน และขาดทุน 48 ล้านบาทงวดก่อน ส่วนหนึ่งมาจากการเริ่มส่งมอบโครงการคอนโดฯ JV ใหม่ Park Origin ทองหล่อ มูลค่า 1.2 หมื่นล้านบาท แม้ยอดโอนฯ ที่ 2.9 พันล้านบาท ลดลง 5.5% yoy และ 4.2% qoq จาก ยอดโอนฯ คอนโดฯ 1.47 พันล้านบาท (-32% yoy และ -17% qoq) เนื่องจากการส่งมอบส่วนใหญ่เป็นรูปแบบ JV และไม่สามารถชดเชยกับแนวราบที่มียอดโอนฯ ทำจุดสูงใหม่ราย ไตรมาสต่อเนื่องได้ที่ 1.48 พันล้านบาท (+61% yoy,+17% qoq) แต่ในเชิง Gross Margin ขายฯ อยู่ที่ 36.3% เพิ่มจาก 33.8% งวดปีก่อน และ 35.2% งวดก่อน ดีขึ้นทั้งแนวราบ และคอนโดฯ ที่ 33.9% และ 38.7% ตามลำดับ ทำให้ Norm Profit Margin ยืนสูงที่ 20.4%
ภาพรวม 1H65 มีกำไรสุทธิ 1.89 พันล้านบาท (+13% yoy) หากไม่รวมกำไรพิเศษสุทธิ 726 ล้านบาท มีกำไรปกติ 1.17 พันล้านบาท (-15.5% yoy) ด้านโครงสร้างการเงินมี Net Gearing ขยับขึ้นจาก 0.96 เท่า งวดก่อน เป็น 1.11 เท่า จากภาระเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก เพื่อใช้ลงทุนเปิดโครงการใหม่ และซื้อโรงแรม IBIS 3 แห่ง แต่คาดลดลงใน 2H65 ตามผลประกอบการที่จะเติบโตมากขึ้น เบื้องต้นบริษัทประเมิน Net Gearing สิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 0.8 เท่า (ข้อกำหนด Bond covenant อยู่ที่ 2.5 เท่า)
ทุกองค์ประกอบจะเร่งตัวมากขึ้น 2H65
การดำเนินงาน 2H65 จะเห็นการเติบโตมากขึ้นจาก 1H65 ในทุกส่วน เริ่มตั้งแต่การเปิดโครงการใหม่รวม 20 โครงการ มูลค่า 2.54 หมื่นล้านบาท (เทียบกับ 1H65 เปิดไป 11 โครงการ รวม 1.66 หมื่นล้านบาท) เป็นแนวราบ 10 โครงการ รวม 1.07 หมื่นล้านบาท ภายใต้แบรนด์ Grand Britania และ Britania เป็นหลัก ขณะที่คอนโดฯ มีแผนเปิดขาย 10 โครงการ มูลค่า 1.47 หมื่นล้านบาท ในหลากหลายแบรนด์ทั้ง Origin, So Origin, Hampton และ Knightbridge เพื่อครอบคลุมแต่ละกลุ่มลูกค้า ภายใต้แผนเปิดโครงการใหม่ดังกล่าว เชื่อว่าจะขับเคลื่อนต่อยอด Presale 2H65 สูงขึ้นจาก 1H65 ที่ทำได้ 1.78 หมื่นล้านบาท (+13% yoy) และสู่เป้าหมายบริษัทปีนี้ที่วางไว้ All time High ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท (เป้าฝ่ายวิจัยที่ 3.4 หมื่นล้านบาท)
จากแผนเปิดโครงการใหม่แนวราบจำนวนมากข้างต้น และปกติสินค้าแนวราบมีรอบธุรกิจสั้น ทำให้ใช้ระยะเวลาขายและโอนฯ ไม่นาน คาดหนุนยอดโอนฯ แนวราบ 2H65 จะเพิ่มมากขึ้น ขณะที่คอนโดฯ จะมีการส่งมอบโครงการใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม JV หลักๆ จากความต่อเนื่องของ Park ทองหล่อ ที่เริ่มตั้งแต่ พ.ค. ที่ผ่านมา และอีก 4 โครงการ มูลค่า 1 หมื่นล้านบาท (Park Origin ราชเทวี, จุฬา-สามย่าน, Hampton ศรีราชา และ The Origin ลาดพร้าว-บางกะปิ) ที่จะเกิดขึ้นใน 2H65 (แบ่งเป็น 1 โครงการใน 3Q65 และอีก 3 โครงการงวด 4Q65) ล้วนเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมสูงขึ้น และส่งต่อไปยังกำไรปกติของ 2H65 จะดีกว่า 1H65 ค่อนข้างมาก
อย่างไรก็ดี เพื่อสะท้อนข้อมูล 1H65 โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายขายบริหารที่มีแนวโน้มสูงกว่าคาด และรายการกำไรพิเศษที่เกิดขึ้น ฝ่ายวิจัยจึงมีการปรับรายการภายในปี 2565 ส่งผลให้กำไรปกติปีนี้ลดลงจากเดิม 8% มาอยู่ที่ 3.27 ล้านบาท แต่ยังถือเป็นระดับ New High และเติบโต 23% yoy ขณะที่กำไรสุทธิเพิ่มจากเดิม 13% เป็น 3.99 พันล้านบาท
FV ใหม่ที่ 12 บาท…ปันผล 1H65 หุ้นละ 0.15 บาท หรือ 1.4%
อิง PER 9 เท่า FV ใหม่ปี 2565 ที่ 12.00 บาท (เดิม 13 บาท) มี upside 15% ขณะที่ผลประกอบการจะเป็นขาขึ้นต่อใน 3Q65 และสูงสุดใน 4Q65 จึงคงแนะนำซื้อ โดย ORI ประกาศจ่ายเงินปันผล 1H65 หุ้นละ 0.15 บาท หรือ 1.4% ขึ้น XD วันที่ 26 ส.ค. 2565
ESG
Environment: มีมาตรการการป้องกันและแก้ไขผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม ทั้งในระหว่างก่อสร้าง และหลังการก่อสร้าง เช่น มีผ้าใบคลุมอาคารระหว่างก่อสร้าง เพื่อป้องกันฝุ่นละอองกระจายไปยังพื้นที่ข้างเคียง
Social: ดำเนินกิจกรรมด้าน CSR เพื่อสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตและสังคม โดยสนับสนุนกิจกรรมให้กับทุกกลุ่มคนในสังคมใกล้เคียง ชุมชน โรงเรียน เป็นต้น
Governance: กำหนดนโยบายและมาตรการต่อต้านการคอร์รัปชั่น และนโยบายที่เกี่ยวข้องเป็นลายลักษณ์อักษร อาทิ นโยบายการแจ้งเบาะแสการกระทำผิด, นโยบายและแนวปฏิบัติการให้รับของขวัญ ฯลฯ
ประเด็นความเสี่ยง
1.ตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ได้แก่ ความเชื่อมั่นต่อการสร้างรายได้ในอนาคตของผู้ซื้อ หากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไม่เป็นไปตามที่คาด ก็จะกระทบความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และนํามาสู่การชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย
2.ระดับการแข่งขันในอุตสาหกรรมรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง อาจทำให้การควบคุมเรื่องประสิทธิภาพการทำกำไรทำได้ยากขึ้น
3.การทําธุรกิจในลักษณะร่วมทุน (JV) ทำให้การรับรู้ทางบัญชีอยู่ในรูปแบบส่วนแบ่งกำไร/ขาดทุน ตามสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทร่วมทุน ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อประมาณการกำไรให้มีโอกาสคลาดเคลื่อนได้
ORI แนะนำ ซื้อ
ราคาปัจจุบัน (บาท) 10.40
ราคาเป้าหมาย (บาท) 12.00
Upside (%) 15.40
Dividend yield (%) 5.40