FLOYD เชื่อแนวโน้มผลงานครึ่งปีหลังฟื้นตัวดีกว่าครึ่งปีแรก หลังผลงานไตรมาส 2/65 มีผลขาดทุนสุทธิ 10.56 ล้านบาท เนื่องจากโครงการก่อสร้างของภาคเอกชนที่ซบเซาในช่วงต้นปี เผยหลังสถานการณ์โควิดคลี่คลาย บรรยากาศการลงทุนสดใส ภาคเอกชนเร่งเปิดตัวอาคารมิกซ์ยูส รวมทั้งห้างสรรพสินค้า รอรับภาคท่องเที่ยวฟื้นตัว พร้อมอานิสงส์นโยบายส่งเสริมการลงทุน Data Center ของภาครัฐ เพิ่มโอกาสรับงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานและวางระบบ มั่นใจดันผลงานเทิร์นอะราวด์ พลิกกลับมามีกำไร

 

นายทศพร จิตตวีระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟลอยด์ จำกัด (มหาชน) หรือ FLOYD เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565 มองว่าบรรยากาศการลงทุนน่าจะดีขึ้น โดยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในด้านการคมนาคม จะกระตุ้นภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนในประเทศ ภาคเอกชนได้รับความเชื่อมั่น ทยอยเปิดตัวงานโครงการใหม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มอาคารสำนักงานขนาดใหญ่, อาคารมิกซ์ยูส (Mixed-Use) และห้างสรรพสินค้าและค้าปลีก ที่มีแนวโน้มขยายตัว เพื่อรองรับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคในประเทศ โดยบริษัทอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่เพิ่มเติมอีกหลายงาน เป็นงานของลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ ซึ่งมีโอกาสได้รับงานสูง

สำหรับแผนธุรกิจในปี 2565 บริษัทยังใช้กลยุทธ์เน้นการควบคุมต้นทุน รักษาฐานลูกค้าเดิม ได้แก่ กลุ่มห้างค้าปลีก อาคารสำนักงาน พร้อมลุยงานก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน สำหรับ Data Center เพิ่ม ซึ่งเป็นธุรกิจเมกะเทรนด์ที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากการใช้เทคโนโลยี Cloud, AI, IoT และ Big Data ที่เพิ่มมากขึ้นในอีก 4-5 ปี ประกอบกับนโยบายส่งเสริมการลงทุนของภาครัฐในการพัฒนาดิจิทัล มาตรการสิทธิพิเศษทางภาษี และอัตราค่าไฟฟ้าพิเศษ ในการผลักดันการลงทุนในระดับ Hyperscale Data Center เพื่อให้ประเทศเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาค รวมถึงทำเลของกรุงเทพฯ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกและปริมาณการใช้งานไอทีจำนวนมหาศาล เป็นปัจจัยบวกในการลงทุนดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทย

ทั้งนี้ เพื่อให้อาคาร Data Center สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพตามมาตรฐานที่กำหนดนั้น ต้องได้รับการออกแบบและติดตั้งจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน โดยบริษัทซึ่งเป็น 1 ในผู้รับเหมาก่อสร้างและวางระบบ Mechanical & Electrical (M&E) ของอาคาร Data Center ด้วยทีมงานวิศวกรที่มีประสบการณ์และเชี่ยวชาญในธุรกิจ โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ในช่วงของการเจรจากับพันธมิตรหลายราย

สำหรับผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 2/65 มีรายได้จากการให้บริการ 23.71 ล้านบาท ลดลง 68.41% % จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีผลขาดทุนสุทธิ 10.56 ล้านบาท เนื่องจากโครงการก่อสร้างของภาคเอกชนที่ซบเซาในช่วงต้นปี โดยเฉพาะกลุ่มอาคารสูงและอาคารขนาดใหญ่ที่ลดลง จากผลกระทบสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลต่อภาพรวมอุตสาหกรรมยังคงชะลอตัวต่อเนื่อง และในไตรมาสนี้ บริษัทมีโครงการใหม่ที่เพิ่งเปิดในหลายโครงการ เมื่อเปิดโครงการและเริ่มปฏิบัติงาน การเจริญเติบโตของรายได้ก็จะเข้าสู่ภาวะปกติ และจะส่งผลให้บริษัทรับรู้รายได้จากการให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง โดยรายได้ที่สำคัญที่เพิ่มขึ้น ประกอบด้วยรายได้จากโครงการแนวราบ อาคารสำนักงาน และดาต้าเซ็นเตอร์

ขณะเดียวกัน บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 10.56 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1.93 ล้านบาท  เนื่องจากได้รับผลกระทบเชิงลบจากการระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 แต่เชื่อว่า ผลงานไตรมาส 2 ได้ผ่านจุดต่ำสุด และกำลังจะฟื้นตัว เนื่องจากปัจจุบันทิศทางงานเริ่มกลับมา และมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) 199.50 ล้านบาท อีกทั้งเตรียมพร้อมประมูลงานใหม่เพิ่มเติมในครึ่งปีหลัง

*******

- Advertisement -