บล.บัวหลวง:

Refining & Chemical – ค่าการกลั่นและส่วนต่างราคาปิโตรเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง (NEUTRAL)

ค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในสัปดาห์ที่ผ่านมา หนุนโดยการขยายตัวของส่วนด่างราคาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ เรายังคงชอบ TOP มากที่สุดในหุ้นกลุ่มโรงกลั่น เนื่องจากการเป็นผู้ผลิตที่มีประสิทธิภาพด้านต้นทุนการผลิต ซึ่งจะส่งผลให้กำไรมีความไวต่อการปรับตัวสูงขึ้นของค่าการกลั่น อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง เนื่องจากอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์ ในทางกลับกัน เนื่องจากปัจจุบันเป็นช่วงพีคซีชั่นของพายุเฮอริเคน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของโรงกลั่น และส่งผลให้อุปทานดึงตัวและหนุนค่าการ กลั่นให้ปรับตัวดีขึ้น

ในสัปดาห์ที่แล้ว ราคาปิโตรเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง ซึ่งถูกกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบแนฟทาที่ลดลง, อุปสงค์ในภูมิภาคที่ชะลอตัว, และอุปทานที่มีจํานวนมาก อย่างไรก็ตาม ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หนุนโดยต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงอย่างมาก ทั้งนี้เรา ยังคงชอบ IVL มากที่สุด เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตแข็งแกร่งของ กําไรหลักปี 2022 รวมทั้งมีอัพไซด์ต่อแนวโน้มการเติบโตระยะยาว จากการลงทุนและ/หรือการเข้าซื้อกิจการใหม่

ค่าการกลั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง Wow

ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องอีก 4.38 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 11.30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ อุปสงค์ในสหรัฐอเมริกาที่ปรับตัวดีขึ้น และ คาดการณ์อุปทานที่อาจลดลง เนื่องมาจากการส่งออกจากประเทศจีนที่ลดลง และการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในแถบเอเชียเหนือ ส่งผลให้ส่วนต่างราคาก๊าซโซลีนปรับตัวขึ้น 3.99 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 18.05 เหรียญสหรัฐ/ บาร์เรล (ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อ SPRC มากที่สุด) นอกจากนี้กิจกรรมการเดินทางทางอากาศที่เพิ่มขึ้น, อุปสงค์ในภูมิภาคที่แข็งแกร่ง, และอุปทานที่ตึงตัว ส่งผลให้ส่วนต่างราคาน้ำมันเครื่องบินและส่วนต่างราคาดีเซลปรับตัวขึ้น 9.21 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 36.55 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล และ 9.62 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 38.61 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ตามล่าดับ (ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อ TOP มากที่สุด)

ในทางตรงกันข้าม อุปทานจากประเทศรัสเซียที่เพิ่มขึ้นกดดันให้ส่วนต่างราคาน้ำมันเตาที่มีส่วนผสมของกำมะถันในระดับสูงปรับตัวลง 0.34 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ -15.82 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (ยังคงแย่กว่าระดับปกติในช่วงก่อน IMO2020 ที่ติดลบ -4-5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลค่อนข้างมาก)

ส่วนต่างราคาเอธิลีนและส่วนต่างราคาโพรพิลีนปรับตัวเพิ่มขึ้น WoW

คาดการณ์อุปทานที่อาจดึงตัวเนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงทั่วทั้งภูมิภาค ส่งผลให้ราคาเอธิลีนทรงตัว WoW อยู่ที่ 795 เหรียญสหรัฐ/ตัน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่แรงซื้อในเอเชียที่ชะลอตัวลง ส่งผลให้ราคาโพรพิลีนปรับตัวลง 15 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 885 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบแนฟทาปรับตัวลง 22 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 654 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนต่างราคาเอธิลีนจึงปรับตัวขึ้น 22 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 141 เหรียญสหรัฐ/ตัน (ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อ PTTGC มากที่สุด) และส่วนต่างราคาโพรพิลีนปรับตัวขึ้น 7 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 231 เหรียญสหรัฐ/ ต้น (ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อ IRPC มากที่สุด)

ส่วนต่างราคา HDPE และส่วนต่างราคา PP ปรับตัวขึ้น WoW

ต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลงและอุปสงค์ในภูมิภาคที่ชะลอตัวลงส่งผลให้ราคา HDPE ปรับตัวลง 10 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 1,030 เหรียญสหรัฐ/ตัน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่อุปทานที่ตึงตัวหนุนให้ราคา PP ทรงตัว WoW อยู่ที่ 1,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบแนฟทาปรับตัวลดลงมากกว่าราคาผลิตภัณฑ์ จึงส่งผลให้ส่วนต่างราคา HDPE เทียบกับแนฟทาปรับตัวขึ้น 12 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 376 เหรียญสหรัฐ/ตัน (ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อ PTTGC มากที่สุด) และส่วนต่างราคา PP เทียบกับแนฟทาปรับตัวขึ้น 22 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 346 เหรียญสหรัฐ/ตัน (ส่งผลกระทบเชิงบวก ต่อ IRPC มากที่สุด)

ส่วนต่างราคา MEG และส่วนต่างราคา PVC ปรับตัวลง Wow

อุปทานที่มีจํานวนมากและราคาวัตถุดิบร่วม PTA ที่ปรับตัวลดลงส่งผลให้ราคา MEG ปรับตัวลง 20 เหรียญ สหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 505 เหรียญสหรัฐ/ตัน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากต้นทุนเอธิลีนทรงตัว ส่งผลให้ส่วนต่างราคา MEG ปรับตัวลง 20 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 4 เหรียญสหรัฐ/ตัน (ส่งผลกระทบเชิงลบต่อ PTTGC มากที่สุด) ในขณะที่อุปสงค์ในเอเชียที่ชะลอตัวส่งผลให้ราคา PVC ปรับตัวลง 50 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 980 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบเอธิลีนทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ส่วนต่างราคา PVC ปรับตัวลง 50 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 583 เหรียญสหรัฐ/ตัน (ส่งผลกระทบเชิงลบต่อ PTTGC มากที่สุด)

คาดค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น YoY แต่ปรับตัวลดลง QoQ ในไตรมาส 3/65

อุปสงค์ในวงกว้างสําหรับน้ำมันสำเร็จรูปมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 3/65 จากมุมมองของอุปทาน การปิดโรงกลั่น, การส่งออกที่ลดลงจากประเทศจีน, และสต็อกน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำจะเป็นปัจจัยที่จํากัดอุปทาน YoY อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ทั่วโลกที่อ่อนตัวลงเนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และอุปทานที่เพิ่มขึ้นมีแนวโน้มกดดันค่าการกลั่น QoQ ในช่วงเวลาดังกล่าว ในขณะที่ต้นทุนน้ำมันดิบ (crude premium) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น YoY (ทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย QoQ) ในไตรมาส 3/65 ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ จากแนวโน้มดังกล่าว เราคาดว่าค่าการกลั่นจะปรับตัวสูงขึ้น YoY แต่ปรับตัวลดลงลง QoQ ในไตรมาส 3/65

หากการเริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ของโรงกลั่นใหม่ไม่เป็นไปตามแผน หรือมีการหยุดโรงกลั่นโดยไม่ได้วางแผนล่วงหน้า (สาเหตุจากไฟไหม้, สงคราม, ภัยธรรมชาติ เป็นต้น) จะส่งผลให้อุปทานตึงตัว อาจเป็นอัพไซต์ต่อค่าการกลั่น ในทางกลับกันหากอัตราการติดเชื้อกลับมาเพิ่มสูงขึ้น อุปสงค์ปิโตรเลียมจะถูกกดดันอีกครั้ง ซึ่งอาจจํากัดการฟื้นตัวของค่าการกลั่น

ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีส่วนใหญ่มีแนวโน้มปรับตัวลง YoY และ QoQ ในไตรมาส 3/65

การกลับมาเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะหนุนอุปสงค์ต่อผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในวงกว้างให้แข็งแกร่งต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 3/65 อย่างไรก็ตาม ช่วงที่อุปสงค์ต่อผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ชะลอตัวตามปัจจัยฤดูกาล (โอเลฟินส์และอะโรเมติกส์) โดยปกติจะเริ่มในไตรมาสที่สองและสิ้นสุดใน เดือน ส.ค. นอกจากนี้ โดยปกติแล้วไตรมาสที่สามจะเป็นช่วงที่อุปสงค์ต่อผลิตภัณฑ์สายโพลีเอสเตอร์ ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล ด้านอุปทาน กําลังการผลิตใหม่ที่เริ่มดำเนินงานในระหว่างไตรมาส และต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้นอาจเป็นอีกปัจจัยที่กดดันส่วนต่างราคาปิโตรเคมีในไตรมาส 3/65 จากแนวโน้มดังกล่าว เราจึงคาดว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่มีแนวโน้มอ่อนตัวลง YoY และ QoQ ในไตรมาส 3/65 อย่างไรก็ตาม อุปทานที่มีจำกัดซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการควบคุมมลพิษของจีน และ/หรือ ความล่าช้าในการเริ่มดำเนินงานของกำลังการผลิตใหม่ อาจเป็นอัพไซด์ต่อราคาและส่วนต่างราคาปิโตรเคมี

- Advertisement -