บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):

Stark Corporation (STARK.BK/STARK TB)* ต้องเดินหน้าต่อไป

Event

ประชุมนักวิเคราะห์งวด 2Q65 และมุมมองของเรา

Impact

ผลการดำาเนินงานโดยรวมยังเป็นไปตามคาด เรากลับออกจากการประชุมกับ CEO ของบริษัทด้วยมุมมองกลางๆ โดยสาระสำคัญที่ได้จากการประชุมค่อนข้างเกี่ยวข้องกับผลการดำเนินงานทางการเงิน, กลยุทธ์ และการอัพเดตข้อมูลการดำเนินงานของบริษัท ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานโดยรวมของ STARK ยังคงแข็งแกร่ง ในขณะที่บริษัทมีกำหนดจะเข้าซื้อกิจการ Leoni ใน 4Q65 ซึ่ง STARK ยังคงมั่นใจกับการเข้าลงทุนใน Leoni ว่าจะสร้าง S-curve ใหม่ของการเติบโตให้กับ STARK ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป ในขณะเดียวกัน บริษัทยังจะได้อานิสงส์จาก synergy ระหว่าง Phelps Dodge กับ Thipha และ Dovina ในเวียดนามในแง่ของการจัดซื้อวัตถุดิบ, product mix ที่เน้นไปทางสินค้า high margin มากขึ้น นอกจากนี้ ผู้บริหารมองว่าบริษัทจะได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากคำสั่งของนายชัชชาติ สิทธิพันธ์ ผู้ว่าฯ กรุงเทพ ที่ให้ระงับและทบทวนโครงการนำสายไฟฟ้าลงใต้ดิน เพราะรายได้จากโครงการนี้คิดเป็นสัดส่วนต่อยอดขายรวมที่ต่ำ สำหรับแผนการขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจง (private placement) เราคาดว่านักลงทุนที่บริษัทเลือกจะเป็นสถาบันการเงินจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของราคาเสนอขาย ซึ่งยังต้องรอมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น (EGM) ในวันที่ 23 กันยายน 2565

ได้รับผลกระทบเพียงเล็กน้อยจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบ

ในภาวะที่ราคาทองแดง และอลูมินัมกลับทิศ STARK ไม่กังวลกับ margin ของบริษัท เพราะ i) บริษัทใช้กลยุทธ์การกำหนดราคาแบบ cost-plus โดยการ mark-up ราคาเสนอขายให้กับลูกค้าจากต้นทุนรวมในวันที่ทำการประมูล และ ii) ตามปกติแล้วบริษัทมักจะเก็บสต็อกตามคำสั่งซื้อ อย่างไรก็ตาม บริษัทคาดว่าแนวโน้มรายได้จะถูกกระทบบ้างตามแนวโน้มราคาวัตถุดิบ แต่จะไม่กระทบกับ margin อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น เราจึงมองว่าแนวโน้มต้นทุนวัตถุดิบที่แพงนิดๆ จะทำให้ตัวเลขกำไรเพิ่มขึ้นแม้ว่า margin จะทรงตัวก็ตาม ทั้งนี้ จำนวนสต็อกเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 หมื่นล้านบาทใน 2Q65 (จาก 1.3 หมื่นล้านบาทใน 1Q65) เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น

ผลประกอบการจะแข็งแกร่งขึ้น HoH

หลังจากรายได้หลักใน 1H65 อยู่ที่ 1.35 หมื่นล้านบาท (+36% YoY) โดยที่ EBITDA margin ธุรกิจหลักอยู่ที่ 20.1% STARK จึงยังคงเป้ารายได้ปี 2565 ไว้ที่ 3.0-3.2 หมื่นล้านบาท และคงเป้า EBITDA margin เอาไว้ที่ 20-21% ทั้งนี้ บริษัทประสบความสำเร็จในการเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้าที่ margin สูง (สายไฟพิเศษสำหรับไฟฟ้าแรงสูงปานกลางถึงสูงเป็นพิเศษ) เป็น 55% ของยอดขายรวม (จาก 51% ในปี 2564) โดยยอดขายในตลาดที่อยู่อาศัย (ในประเทศไทยและเวียดนาม) คิดเป็น 87% ของยอดขายใน 1H65 ในขณะที่อีก 13% มาจากตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เราคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักใน 3Q65 จะเพิ่มขึ้นมาก QoQ เนื่องจากเป็นช่วง high season ของธุรกิจ และไม่มีรายการพิเศษที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวเหมือนกับใน 2Q65 ซึ่งเราคาดว่าจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในเร็วๆ นี้ นอกจากนี้ backlog ใน 2Q65 ยังทรงตัว QoQ อยู่ที่ 1.479 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการที่มี margin สูง

- Advertisement -