บล.เอเซีย พลัส:

ผู้ป่วยอาการเริ่มบรรเทาลง

แนวโน้มผลประกอบการ 3Q65 ขาดทุนลดลงจาก 2Q65 เนื่องจากสามารถเริ่มงานทางยกระดับพระราม 2 – บ้านแพ้ว และคว้างาน Tenth Avenue โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่เข้ามาได้ อย่างไรก็ตาม การรับรู้รายได้ 2 โครงการดังกล่าวยังไม่มาก ส่งผลให้ 3Q65 น่าจะยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน ในขณะที่ 4Q65 มีโอกาสพลิกกลับเป็นกำไร จากการเริ่มงาน Central Embassy และรับรู้รายได้ 2 โครงการดังกล่าวเต็มไตรมาส พร้อมกับมีการนำเข้าแรงงานชุดแรก 42 คนช่วงกลาง ส.ค. ที่ผ่านมา โดยจะทยอยนำเข้าแรงงานต่อเนื่องไปถึงปลายปี คาดจะมีจำนวนคนงานทั้งสิ้น 400-450 คน เพียงพอที่จะหนุนให้กลับมารับงานได้มากขึ้นในปี 2566 อีกครั้ง

ฝ่ายวิจัยยังคงให้น้ำหนักกับผลประกอบการที่มีโอกาสขาดทุนต่อเนื่องใน 3Q65 ประเมิน FV อิง Historical PBV 1.8 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 3.96 บาท ยังคงแนะนำ switch ไปที่ PYLON (FV@B 6.45) ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่งและแนวโน้มของผลประกอบการอยู่ในช่วงขาขึ้นชัดเจน

แนวโน้มผลประกอบการ 3Q65 มีโอกาสฟื้นตัว ขาดทุนน้อยกว่า 2Q65

แนวโน้มผลประกอบการ 3Q65 มีโอกาสฟื้นตัวจาก 2Q65 ที่เคยขาดทุนมากถึง 57 ล้านบาท เนื่องจากช่วง 3Q65 สามารถเริ่มงานทางยกระดับพระราม 2 – บ้านแพ้ว และคว้างาน Tenth Avenue โครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ ถนนสุขุมวิทซอย 10 มูลค่าราว 200 ล้านบาทเข้ามา อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยประเมินว่าผลประกอบการ 3Q65 ยังไม่ถึงจุดคุ้มทุน (breakeven) เนื่องจากงานทางยกระดับพระราม 2 – บ้านแพ้ว อยู่ในช่วงเริ่มต้นก่อสร้าง ส่งผลให้การรับรู้รายได้มีไม่มากนักและโครงการ Tenth Avenue เพิ่งเริ่มเข้างานช่วงปลาย ส.ค. ประกอบกับในช่วงแรกเป็นงานกำแพงกันดิน ซึ่งมีอัตราการใช้เครื่องจักรเพียง 2 ชุด เท่านั้น ส่งผลให้การรับรู้รายได้ยังไม่มากเท่าที่ควร

พอเริ่มเห็นสัญญาณ TURNAROUND ในช่วง 4Q65

ถึงแม้ช่วง 3Q65 จะยังคงขาดทุน แต่ฝ่ายวิจัยประเมินว่าช่วง 4Q65 มีโอกาสที่จะพลิกกลับมาเป็นกำไร (turnaround) ได้จากการเริ่มงาน Central Embassy และทำงานยกระดับพระราม 2 บ้านแพ้ว, Tenth Avenue ได้เต็มไตรมาส ประกอบกับช่วงกลาง ส.ค. ที่ผ่านมา SEAFCO มีการนำเข้าแรงงานชุดแรกจํานวน 42 คน โดยคาดว่าจะนําเข้าแรงงานได้อีกในช่วงที่เหลือของปีได้เฉลี่ยไตรมาสละ 100 คน หากรวมกับแรงงานที่มีอยู่ปัจจุบันราว 200 คน ส่งผลให้ปลายปี 2565 มีแรงงานรวมทั้งสิ้น 400 – 450 คน แม้จำนวนแรงงานดังกล่าว อยู่ในระดับน้อยกว่าช่วงก่อนโควิดระบาดเล็กน้อย แต่ก็เพียงพอที่จะหนุนให้ SEAFCO กลับมารับงานได้มากขึ้นเทียบกับเครื่องจักรที่มีในมืออีกครั้ง โดยปี 2566 มีงานสำคัญ ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ รถไฟฟ้าสายสีม่วงตะวันตก และงานเอกชนอย่างโครงการเซ็นทรัลพหลโยธิน ที่ SEAFCO มีโอกาสเข้าไปร่วมงาน ในขณะที่ด้านการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จะส่งผลกระทบในวงจำกัดเนื่องจากลักษณะงานของ SEAFCO มีระยะเวลาทำงานไม่นานมากนัก จึงสามารถสะท้อนค่าแรงที่เพิ่มขึ้นเข้าไปในโครงการประมูลใหม่ๆ ได้

ยังคงแนะนำ SWITCH อยู่ แม้แนวโน้มผลประกอบการมีโอกาสฟื้นตัว

ฝ่ายวิจัยยังคงให้นําหนักกับผลประกอบการงวด 3Q65 ที่ยังมีโอกาสขาดทุนต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าแนวโน้มช่วง 4Q65 – 2566 จะมีโอกาสดีขึ้นก็ตาม ประเมิน Fair Value อิง Historical PBV 1.8 เท่า ได้ราคาเหมาะสม 3.96 บาท ฝ่ายวิจัยยังคงแนะนำ switch ไปที่ PYLON (FV@B 6.45) ที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแกร่ง และแนวโน้มของผลประกอบการอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยจังหวะที่นักลงทุนอาจกลับเข้ามาทยอยสะสม SEAFCO ได้อีกครั้งน่าจะเป็นช่วงหลังประกาศผลประกอบการ 3Q65 ไปแล้ว ซึ่งคาดหวังว่า SEAFCO จะสามารถนำเข้าแรงงาน และเริ่มทำงานหลายโครงการใหญ่ได้ตามแผนที่ตั้งไว้

ประเด็นความเสี่ยง

1. ผลกระทบจาก Covid-19 กดดันให้เศรษฐกิจชะลอตัว อาจส่งผลให้ SEAFCO ไม่สามารถหางานใหม่หรือสามารถหางานที่มี gross margin ต่ำกว่าที่เคยทำได้ในอดีต อาจส่งผลกระทบต่อประมาณการให้ต่ำกว่าที่คาดไว้

2. ผลกระทบจากการขาดแคลนแรงงานเนื่องมาจาก Covid-19 จะส่งผลให้ SEAFCO มีข้อจำกัดในการเซ็นสัญญารับงาน แม้จะมีอุปกรณ์เครื่องจักรพร้อมทำงาน

SEAFCO แนะนํา SWITCH

ราคาปัจจุบัน (บาท) 3.56

ราคาเป้าหมาย (บาท) 3.96

Upside (%) 11.27

Dividend yield (%) 0.00

 

- Advertisement -