Our View? “ไม่ไหวก็พัก”
คาดตลาดวันนี้ “Sideway Down” มองแนวรับที่บริเวณ 1,630 / 1,620 และแนวต้านที่บริเวณ 1,644 / 1,650 คาดตลาดจะได้รับ Sentiment เชิงลบจากตลาดต่างประเทศที่ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ตามความกังวลในการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) โดยล่าสุดนางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธาน FED สาขาคลีฟแลนด์แสดงความคิดเห็นว่า FED ควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้อยู่เหนือระดับ 4.00% ในช่วงต้นปี’66 และคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับดังกล่าวเป็นระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งถือว่าสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าว่าดอกเบี้ยของ FED จะไม่สูงกว่าระดับ 4.00% และคาดว่าดอกเบี้ยสหรัฐมีโอกาสปรับลดลงได้ในช่วงครึ่งปีหลัง 66 โดยมุมมองดังกล่าวค่อนข้างมีความสอดคล้องกับประธาน FED สาขาต่างๆ ที่แสดงมุมมองในการคุมเข้มนโยบายทางการเงินต่อไป ซึ่งคาดจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐ-โลก ขณะที่ในตั้งแต่เดือน ก.ย. นี้ FED จะเริ่มเพิ่มวงเงินในการปรับลดขนาดงบดุลของ FED จาก 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน เป็น 9.50 หมื่นล้านดอลลาร์/เดือน บ่งชี้กระแสเงินทุนส่วนของในตลาดลดลง คาดจะกดดันจํากัด Upside ของทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยงได้เช่นกัน เป็นจิตวิทยาเชิงลบกดดันทิศทางตลาดได้ต่อ
ทางด้านราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ส่งมอบเดือน ต.ค. เมื่อคืนนี้ปรับตัวลดลงต่อ -2.09 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 89.55 ดอลลาร์ (-2.28%) โดยได้รับแรงกดดันจากจีนเริ่มกลับมาใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่เข้มงวดมากขึ้นอีกครั้ง คาดจะส่งผลต่ออุปสงค์น้ำมันของจีนซึ่งถือเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่สุดของโลก อีกทั้งทำเนียบขาวส่งสัญญาณถึงแนวโน้มการบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งจะเป็นการเปิดทางไปสู่การกลับมาส่งออกน้ำมันของอิหร่านเข้าสู่ตลาดโลกได้อีกครั้ง มองเป็นปัจจัยกดดันทิศทางราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลงได้ต่อ คาดจะกดดันทิศทางหุ้นในกลุ่มพลังงาน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 22% อ่อนตัวลงกดดันภาพรวมตลาดใด้บ้าง
สําหรับปัจจัยในประเทศเรามีมุมมองเป็นกลางต่อการที่เมื่อวานนี้ ธปท. รายงานตัวเลขเศรษฐกิจเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา เริ่มชะลอตัวลงบ้างตามการส่งออกและการบริโภคเอกชนปรับลดลงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม จํานวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและเพิ่มขึ้นในเกือบทุกสัญชาติผลจากการที่ภาครัฐยกเลิกการลงทะเบียนเข้าไทยผ่านระบบ Thailand Pass ตั้งแต่ 1 ก.ค. เรามองยังเป็นปัจจัยบวกต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี เรายังคงมีมุมมองให้นักลงทุนใช้ความระมัดระวังมากขึ้นกับตลาดหุ้นไทยหลังปรับตัวขึ้นสูงกว่าระดับ 1,640 จุด ซึ่งถือเป็นโซนที่ Valuation ของตลาดในปัจจุบันจะเริ่มตึงตัวมากขึ้น โดย Forward PE เริ่มปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 16 เท่า อยู่ในระดับ -0.5 S.D. ในปีนี้ คาดจะจำกัด Upside ระยะสั้นของหุ้นไทยได้บ้างในระยะสั้น
ทั้งนี้เรายังคงชอบหุ้นในกลุ่ม Re-Opening ที่ยัง Laggard ตลาดอยู่ ได้แก่ หุ้นในกลุ่มศูนย์การค้า (CPN, MBK และ PLAT) และหุ้นในกลุ่มโฆษณา (VGI, PLANB และ MACO) และกลุ่มค้าปลีก (BIC, CPALL, CRC และ MAKRO) คาดจะได้รับประโยชน์จากการเปิดเมืองและแนวโน้มนักท่องเที่ยวกลับมาดีมากขึ้นในช่วง 2H65 หนุนการ บริโภคในประเทศฟื้นตัวขึ้น เป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อทิศทางราคาหุ้นดังกล่าวได้ มองเป็นโอกาสในการเข้าซื้อเมื่อตลาดอ่อนตัวลง
ธีมการลงทุน “Selective Play”
หุ้นแนะนําวันนี้
กลยุทธ์ ทยอยซื้อสะสม “MBK” แนวรับ 16.00 / 15.70 Target 17.60 | 18.90 Stop <15.50
เก็งกำใร “FSMART” แนวรับ 22.00 / 21.70 Target 23.20 / 26.00 Stop <21.70