บล.พาย:
PRM บมจ. พริมา มารีน “แผนขยายกองเรือที่น่าตื่นเต้น”
คงคำแนะนำ “ถือ” แต่ปรับเพิ่มมูลค่าพื้นฐานขึ้นจาก 6.30 บาท เป็น 6.60 บาท หลังจากปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2022-23 ขึ้น 16%-25% มีมุมมองเชิงบวกต่อแผนการขยายกองเรือในครึ่งหลังปี 2022 คาดช่วยหนุนกำไรปี 2023-24 ให้โตเฉลี่ยต่อปีที่ 8% แต่กำไรในช่วงฟื้นตัวนี้ยังห่างไกล ยอดสูงในปี 2020-21 เพราะภาพรวมตลาดธุรกิจเรือจัดเก็บน้ำมันแบบลอยน้ำ (FSU) ยังมีทิศทางขาลงในแง่ของค่าระวางอันเป็นผลจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ ทั้งนี้การเข้าซื้อ Truth Maritime (เดิมชื่อไทยออยล์มารีน) ด้วยการหันไปเน้นธุรกิจเทรดดิ้งระหว่างประเทศ โดยการเพิ่มเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ (VLCC) ใหม่ 3 ลำ Crew Boat 13 ลำ และเรือขนส่งเคมีภัณฑ์อีก 2-3 ลำ ไม่น่าเพียงพอต่อการชดเชยผลกระทบจากอุปสงค์ขาลงสำหรับเรือ FSU (40% ของรายได้รวม) แต่คาดว่าจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของกำไรให้ยังเติบโตในปี 2023-24 ได้
กำไรปกติไตรมาส 2/22 ลดลง QoQ และ YoY
- กำไรสุทธิไตรมาส 2/22 อยู่ที่ 199 ล้านบาท หากไม่รวมอัตราแลกเปลี่ยน กำไรปกติอยู่ที่ 262 ล้านบาท (-38%YoY -2%QoQ) ที่ลดลง YoY เป็นผลจากฐานสูงของรายได้อื่น จากการขายเรือและผลงานในธุรกิจ FSU ที่ลดลง ส่วนการลดลง QoQ มีสาเหตุจากอัตราการดำเนินงานของ FSU ที่ลดลง เพราะการดำเนินระบบบริหารจัดการสินค้าใหม่
- รายได้ปกติแตะจุดสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1.7 พันล้านบาท พร้อมกับการขยายกองเรือเป็น 59 ลำ ณ ไตรมาส 2/22 และปริมาณขนส่งสำหรับธุรกิจเทรดดิ้งในประเทศที่สูงขึ้น (45% ของรายได้รวมในไตรมาส 2/22)
คาดกำไรไตรมาส 3/22 โต QoQ แต่ลดลง YoY
คาดกำไรไตรมาส 3/22 โต QQQ จาก 1) การรับรู้รายได้เต็มไตรมาสจากเรือ VLCCs 2 ลำ และ 2) ทิศทางขาขึ้นต่อเนื่องของธุรกิจเทรดดิ้งในประเทศ แม้รายได้กลุ่มนี้ทำจุดสูงเป็นประวัติการณ์ไปที่ 760 ล้านบาท ในไตรมาส 2/22 แล้วก็ตาม ด้วยแรงหนุนจากอุปสงค์การบริโภคน้ำมันที่ฟื้นตัวแข็งแกร่งในภาคใต้ของไทย แต่คาดกำไรหดตัวลง YoY จากการรับรู้รายได้การขายเรือที่ขาดหายไป และผลการดำเนินงานธุรกิจ FSU ในไตรมาส 3/21 ที่มีฐานสูงกว่าปี 2022
แผนการขยายกิจการในครึ่งปีหลังที่ดูดี
เรือ VLCC ลำที่ 2 ขนาด 280,000 DWT ภายใต้สัญญา 10 ปีกับไทยออยล์มารีน (TM) ได้เริ่มดำเนินการแล้วในวันที่ 6 มิ.ย. 2022 ประเมินว่าจะช่วยเพิ่มรายได้เข้ามา 70-75 ล้านบาท/ไตรมาส หรือ 4% ของรายได้รวม เมื่อดูจากแผนบริษัทคาดว่า VLCC ลำที่ 3 จะเดินเครื่องภายในไตรมาส 4/22 คาดอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของเรือ VLCCs เหล่านี้ยังทรงตัวที่ราว 30% หรือใกล้เคียงค่าเฉลี่ยของบริษัท แต่กําไรจาก VLCC 3 ลำ ลูกเรือ 13 ลำ เรือขนส่งเคมีภัณฑ์ 2-3 ลำ และเรือขนส่งและที่พักอาศัยสำหรับพนักงานประจำแท่นขุดเจาะน้ำมัน (AWB) 1 ลำเพื่อสนับสนุนธุรกิจนอกชายฝั่งจะไม่เพียงพอต่อการชดเชยผลกระทบจากฐานสูงของราคานํ้ามันดิบโลก ที่ฉุดอุปสงค์ FSU ของกลุ่มค้าน้ำมันลง
แนะนํา “ถือ” มูลค่าพื้นฐาน 6.60 บาท
คงคำแนะนำ “ถือ” แต่เพิ่มมูลค่าพื้นฐาน เป็น 6.60 บาท อิง 14.0xPE’23E หรือ -1.0S.D. ต่อค่าเฉลี่ย 5 ปี นับว่าใกล้เคียงค่าเฉลี่ยกลุ่มขนส่งเอเชียที่ไม่รวมญี่ปุ่น พื้นฐานของบริษัทแข็งแกร่งด้วยสัดส่วนรายได้ประจําที่สูงสุดเมื่อเทียบกับหุ้นขนส่งทางทะเลรายอื่น แต่มีโอกาสขยายรายได้และอัตรากำไรที่จำกัด
สรุปผลประกอบการ
- กำไรสุทธิไตรมาส 2/22 อยู่ที่ 199 ล้านบาท หากไม่รวมอัตราแลกเปลี่ยนกำไรปกติอยู่ที่ 262 ล้านบาท (-38%YoY -2%QoQ) ที่ลดลง YoY เป็นผลจากฐานสูงของรายได้อื่นจากการขายเรือและผลงานในธุรกิจ FSU ที่ลดลง ส่วนการลดลง QoQ มีสาเหตุจากอัตราการดำเนินงานของ FSU ที่ลดลง เพราะการดำเนินระบบบริหารจัดการสินค้าใหม่
- รายได้ปกติแตะจุดสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 1.7 พันล้านบาท พร้อมกับการขยายกองเรือเป็น 59 ลำ ณ ไตรมาส 2/22 และปริมาณขนส่งสำหรับธุรกิจเทรดดิ้งในประเทศที่สูงขึ้น 45% ของรายได้รวมในไตรมาส 2/22)
- GPM ลดลงเหลือ 27.2% ในไตรมาส 2/22 จาก 29.6% ในไตรมาส 1/22 หลังจากรายได้ในธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูงอย่าง FSU ปรับลดลง
ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2022-23 ขึ้น 16% และ 25% เป็น 1.1 พันล้านบาท และ 1.2 พันล้านบาท ตามลำดับ เพื่อสะท้อนถึงรายได้จาก VLCC ที่สูงกว่าคาด รวมถึงธุรกิจเทรดดิ้งในประเทศ และเรือ FSU ใหม่ 1 ลำที่เพิ่มเข้ามาในไตรมาส 2/22 ด้วยเหตุนี้จึงปรับเพิ่มรายได้ปี 2022-23 ขึ้น 12% และ 14% ตามลำดับ
Revenue breakdown
- ธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันและปิโตรเคมีเหลว (49% ของรายได้ทั้งหมดในปี 2021) คือกิจการที่ให้บริการขนส่งทางเรือทั้งเส้นทางในและระหว่างประเทศ ปัจจุบันมีเรือขนส่งน้ำมันอยู่ 36 ลำ ณ ช่วงสิ้นปี 2021
- ธุรกิจเรือจัดเก็บน้ำมันแบบลอยน้ำ (FSU) คิดเป็น 40% ของรายได้ทั้งหมดของ PRM บริษัทมีกองเรือ FSU อยู่ 5 ลำ ด้วยกำลังขนส่งทั้งหมด 1.5 ล้าน DWT ในน่านน้ำมาเลเซีย-สิงคโปร์ (1 ลำในไทย) หลักๆ จะให้บริการจัดเก็บน้ำมันเดินเรือ
- ธุรกิจเรือสำรวจและขุดเจาะน้ำมันปิโตรเลียมกลางทะเล (offshore) (5% ของรายได้ทั้งหมด) จะให้บริการสนับสนุนลูกค้าที่ดำเนินกิจกรรมสำรวจนอกชายฝั่งในประเทศ โดยมีเรือ 2 ประเภทคอยให้บริการ ได้แก่ เรือสนับสนุนกิจกรรมนอกชายฝั่ง (FSO) และเรือขนส่งและที่พัก (AWB) ตามแท่นขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทย