ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้

กลับมาปรับฐานลง ปัจจัยต่างประเทศเป็นลบมากขึ้น

ฝ่ายวิจัย KGI ประเมิน SET Index วันพุธกลับมาปรับฐานลง (แต่คงลงไม่แรง)… หลังจากเมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นแรงกว่าที่เราคาด ตามแรงซื้อที่เข้ามาในหุ้นกลุ่มไฟฟ้าตัวใหญ่ๆ เช่น GULF* และ EA* ตามประเด็นข่าวบวกที่เป็นการเฉพาะตัว ด้านฟันด์โฟลว์ชะลอการไหลออก ต่างชาติขายสุทธิเพียงเล็กน้อย 256 ล้านบาท…. ส่วนในวันนี้ ปัจจัยต่างประเทศเป็นลบมากขึ้น น่าจะกดดันจิตวิทยาตลาด กล่าวคือ i) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับลดลงเมื่อคืนนี้ หลังจากบอนด์ยีลด์และดัชนีเงินดอลล่าร์ฯ ปรับตัวขึ้น สะท้อนตัวเลข ISM ภาคบริการเดือน ส.ค. ที่ออกมา 56.9 จุด สูงกว่าที่ consensus คาดการณ์ ทำให้ตลาดมั่นใจมากขึ้นว่า ธ.กลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นดอกเบี้ยแรง 0.75% ในการประชุมเดือนนี้ ii) ความกังวลต่อเศรษฐกิจยุโรปยังคงเพิ่มขึ้น หลังจากรัสเซียมีจุดยืนชัดเจนมากขึ้นว่าจะไม่กลับมาส่งก๊าซธรรมชาติผ่านท่อ Nord Stream 1 จนกว่าชาติตะวันตกจะยกเลิกการคว่ำบาตร ส่งผลให้สกุลเงินยูโรร่วง แรง และกดดันให้ค่าเงินบาทกลับมาอ่อนค่าอีกครั้งเช้าวันนี้ iii) ทางการจีนประกาศขยายเวลาล็อกดาวน์ เมืองเฉิงตูออกไปอีก หลังจากการตรวจ COVID-19 เป็นวงกว้างยังคงไม่เสร็จสิ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวกดดันราคาน้ำมันดิบให้ลดลง 2.1% เมื่อคืนนี้… ทั้งนี้นักลงทุนควรติดตามการแถลงของผู้ว่าการเฟดเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงินสหรัฐฯ ซึ่งในคืนวันนี้จะมีผู้ว่าเฟดออกมาแถลงถึง 4 ท่านด้วยกัน

หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน

เก็งกำไร EPG*, PLANB*, MEGA*

  • EPG* (เป้า Consensus 12.25 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 9.7 บาท / แนวต้าน 9.9 – 10.1 กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป +/- 10.5 บาท (Stop loss 9.55 บาท) 2) ราคา Laggard หุ้นกลุ่มยานยนต์ที่ฟื้นตัวขึ้นมาต่อเนื่อง คาดเป็นผลจากอัตราการผลิตรถยนต์ในประเทศใน 3Q65 เริ่มฟื้นตัวเด่นในช่วง High season ของภาคการผลิตเพื่อส่งออก 3) ประเมินแนวโน้มผลการดำเนินงานใน 1Q65/66 (เม.ย.-มิ.ย.) จะเป็นจุดต่ำสุดของปี เนื่องจากผลกระทบจากต้นทุนวัตถุดิบเม็ดพลาสติกเริ่มลดลง (ผลจากทั้งราคาน้ำมันดิบพักฐาน และกำลังการผลิตเม็ดพลาสติกใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาก) และค่าระวางเรือที่เริ่มลดลงอย่างมาก 4) Forward PE 17.6 เท่า … ข้อมูล Bloomberg consensus (คิดเป็นราว -0.75 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในอดีต) ขณะที่คาดผลการดำเนินงาน 1Q65/66 จะเป็นจุดต่ำสุดของปี
  • PLANB* (เป้าพื้นฐาน 7.3 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 6.85 บาท / แนวต้าน 7.1 – 7.3 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ แนะนำ “Let profit run” (Stop loss 6.5 บาท) 2) คาดแนวโน้มผลการดำเนินงานเริ่มฟื้นตัวเด่นตามการเปิดประเทศทั้งในส่วนของรายได้โฆษณาสื่อนอกบ้าน และธุรกิจ การจัดกิจกรรมอื่นๆ เช่น Sport marketing (สนามมวยราชดำเนิน กิจกรรมวิ่ง ฟุตบอล) / การจัดกิจกรรมของศิลปินที่มากขึ้น โดยฝ่ายวิจัยฯ คาดผลการดำเนินงานฟื้นตัวแข็งแกร่งต่อเนื่องใน 2H65 และคาดกำไรปี 2566 โตต่อ +48% YoY แตะระดับ +1 พันล้านบาท 3) Forward PE ปีนี้ แม้จะยังสูงที่ราว 440 เท่า (เท่ากับค่าเฉลี่ยในอดีต) แต่หากพิจารณา Forward PE ปี 2566 จะลดลงเหลือเพียง +30 เท่า (คิดเป็นเพียง -1.5 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในอดีต) และ PBV ล่าสุด 3.78 เท่า (คิดเป็น 1 เท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานในอดีต)
  • MEGA* (เป้า Consensus 59.5 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 50.5 บาท / แนวต้าน 52 – 53 บาท กรณี ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป +/- 55 บาท (Stop loss 49 บาท) 2) ประเมินแนวโน้มยอดขายผลิตภัณฑ์ยาทั่วไปจะเริ่มฟื้นตัว หลังจำนวนผู้ป่วย Non-Covid เริ่มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และเตรียมศึกษาการขยายกำลังการผลิต ผลิตภัณฑ์ยาสำหรับโรครุนแรง อาทิ มะเร็ง ลิ่มเลือด ฯลฯ ขณะที่คาดความต้องการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยังดีต่อเนื่อง 3) Valuation ไม่แพง Forward PE +/- 20 เท่า … ข้อมูล Bloomberg consensus

หุ้นมีข่าว

(+) GUNKUL* ผนึก 2 พันธมิตรยักษ์ใหญ่ เสริมทัพระบบกักเก็บพลังงานและโรงไฟฟ้าเสมือน (ผู้จัดการ รายวัน 360 องศา) “กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง” ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ Busan Jungkwan Energy และ EIPGRID เตรียมขยายพอร์ตนวัตกรรมพลังงานของบริษัทฯ เน้นพัฒนาธุรกิจ แพลตฟอร์มโรงไฟฟ้าเสมือนเพื่อบริหารจัดการพลังงาน (Virtual Power Plant) และธุรกิจระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) ให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย

(+) SCBX ถือฤกษ์ 12 ก.ย.นี้ เทรดเงินคริปโต 20 สกุล พร้อมเปลี่ยนชื่อ “บล. รับเงินปันผลลงทุน 12 บริษัท (ข่าวหุ้น) “เอสซีบี เอกซ์” ดีเดย์ 12 ก.ย.นี้ เปิดซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนเงินดิจิทัล 15-25 สกุล เช่น Bitcoin, Ethereum, USD Coin โดยจะให้บริการผ่าน “บล.อินโนเวสท์ เอกซ์” ที่เปลี่ยนชื่อมาจาก “บล. ไทยพาณิชย์” ส่วน SCB* รับโอนเงินปันผล 6.1 หมื่นล้านบาท จะส่งผลดีระยะยาว นำไปปรับโครงสร้างธุรกิจ ในฐานะโฮลดิ้ง ส่ง “บริษัท Card X” แข่ง KTC* ก่อนนำเข้าตลาดหุ้นดันราคาหุ้นแม่ทะยาน จับตา แจ้งจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 1.50 บาทเร็วๆ นี้ ส่วนเงินปันผลประจำปีคาด 3.50 บาท

(0) MAKRO หวังกลุ่มซีพี เพิ่มฟรีโฟลตแตะ 15% (กรุงเทพธุรกิจ) “แม็คโคร” หวัง “กลุ่มซีพี” พิจารณาเพิ่มฟรีโฟลตแตะ 15% จาก 13.53% ดันหุ้นมีสภาพคล่องมากขึ้น เข้าเกณฑ์ที่บริษัทต้องการเข้าสู่การคิดคำนวณในดัชนี DJSI และการเป็นบริษัทที่ยั่งยืน คาดยอดขายไตรมาส 3/65 โตต่อถึงต้นปีหน้า แรงหนุนออนไลน์-กำลังซื้อฟื้นหลังเปิดประเทศ

(+) AMATA* ต่างชาติจ่อเข้า ตุนแบ็กล็อกแน่น 5 พันล. (ทันหุ้น) AMATA จับตายอดขาย-ยอดโอนที่ดินพุ่ง สงครามการค้าและความขัดแย้งในประเทศใหญ่ หนุนฐานทุนต่างชาติย้ายเข้าไทย อวดแบ็กล็อกในมือ 5,176 ล้านบาท คาดทยอยโอนในช่วงที่เหลือปีนี้ 60-65% พร้อมรับอานิสงส์จากซัพพลายเออร์ BYD หลังเข้ามาลงทุนในไทย

(+) ORI* ดัน PRI เข้าตลาด ขยายบริหารนิติบุคคล (ทันหุ้น) ORI* เดินหน้าดันบริษัทลูก “พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น หรือ PRI” เข้าเทรดกระดาน mai ภายในปีนี้ มีแผนระดมทุนขยายเทคโนโลยี Service Tech จับมือ พันธมิตรใหม่ต่อยอดการบริการที่หลากหลาย หนุนการเติบโตในอนาคต พร้อมตั้งเป้ารายได้ใน 3-5 ปี แตะ 1,000 ล้านบาท

หุ้นที่เคยแนะนำก่อนหน้า

  • หุ้นที่แนะนำ “Let profit run” โดยกำหนดจุดขายทำกำไร COM7* (Trailing stop 33.5 บาท)
  • BAFS (เป้าพื้นฐาน 36.5 บาท) แนวรับ 29.75 บาท / แนวต้าน 32 บาท ผ่านได้แนะนำ “Let profit run (Trailing stop 28.75 บาท)
  • TFG (เป้าพื้นฐาน 10.4 บาท) แนวรับ 6.5 บาท / แนวต้าน 6.75-7.0 บาท ผ่านได้แนะนำ “Let profit run” (Trailing stop 6.3 บาท)
  • WHA* (เป้าพื้นฐาน 4.4 บาท) แนวรับ 3.60 บาท / แนวต้าน 3.68-3.8 บาท (Trailing stop 3.48 บาท)
  • HMPRO* (เป้าพื้นฐาน 17.5 บาท) แนวรับ 13.7 บาท / แนวต้าน 14.2-14.5 บาท (Trailing stop 13.6 บาท)
  • SCB* (เป้าพื้นฐาน 150 บาท) แนวรับ 110 บาท / แนวต้าน 115-117 บาท (Stop loss 107.5 บาท)
  • PTG* (เป้าพื้นฐาน 19.5 บาท) แนวรับ 14.8 บาท / แนวต้าน 15.2-15.5 บาท (Stop loss 14.8 บาท)
  • CRC* (เป้า Consensus 43.2 บาท) แนวรับ 39.5 บาท / แนวต้าน 41-42 บาท (Stop loss 39 บาท)

Report ตามปัจจัยพื้นฐานวันนี้

  • กลุ่มสื่อ น้ำหนักลงทุน “มากกว่าตลาดฯ” ฝ่ายวิจัยฯ คาดผลการดำเนินงานโดยรวมของหุ้นในกลุ่มสื่อ ที่ฝ่ายวิจัยฯ ออกบทวิเคราะห์ จะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องใน 2H65 หลังจากที่เริ่มเห็นภาพการ Turnaround ใน 1H65 ซึ่งเป็นผลจากการเปิดประเทศ ส่งผลบวกภาพรวมงบโฆษณา ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ทั้ง BEC* MAJOR* PLANB* (หุ้นเด่นเลือก MAJOR* ที่คาดกำไรจะกลับมาโตแรงในปี 2566 และยังมี Upside สูง)
  • KTB* แนะนำ “ซื้อ” เป้าพื้นฐาน 18.8 บาท ฝ่ายวิจัยฯ ปรับประมาณการฯ ขึ้น สะท้อน i) Credit cost ที่คาดลดลง ii) NIM ที่คาดจะเพิ่มขึ้น ทั้งนี้จุดเด่นอีกเรื่องของ KTB คือยอดสินเชื่อส่วนใหญ่ (70%) เป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำ
- Advertisement -