บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Action BUY (Maintain)

TP upside (downside) +25.2%

Close Sep 13, 2022 Price (THB) 15.50

12M Target (THB) 19.40

Previous Target (THB) 16.60

What’s new?

  • ปรับประมาณการปี 2565 ขึ้นเป็น 1,608 ล้านบาท จากการปรับสมมติฐานค่าการตลาดน้ำมันขึ้นเป็น 1.85 บาท/ลิตร จากเดิม 1.74 บาท/ลิตร หลังค่าการตลาดน้ำมันเฉลี่ย 1H65 อยู่ที่ราว 1.90 บาท/ลิตร
  • คาดกำไรปกติ 3Q65 ลดลง QoQ จากปริมาณขายน้ำมันที่ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล และค่าการตลาดน้ำมันที่มีแนวโน้มลดลงจากฐานที่สูงใน 2Q65 แต่คาดกำไรปกติเติบโตเด่น YoY จากปริมาณขายน้ำมัน, LPG และธุรกิจ Non-oil ที่ฟื้นตัว YoY เพราะไม่มี Lockdown เหมือนปีก่อน

Our view

  • บริษัทวางแผนรับมือกับประเด็นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำผ่านการเพิ่มปริมาณขายน้ำมัน จากการประเมินหากบริษัทฯ สามารถเพิ่มปริมาณขายน้ำมันได้ราว 50-60 ล้านลิตร/ปี จะสามารถชดเชยผลกระทบจากประเด็นดังกล่าวได้ทั้งหมด
  • เราปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 19.40 บาท/หุ้น มี Upside +25.2% คงคำแนะนำ “ซื้อ”
  • PTG มีประเด็นบวกที่รออยู่คือ 1) การเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าขยะชุมชน (เป็น Upside ราว 0.20-0.30 บาท/หุ้น) และ 2) การ Spinoff ธุรกิจ Palm Complex และ LPG

PTG ENERGY กลับสู่ระดับปกติในปี 2566

ปรับประมาณการปี 2565 ขึ้น

ปรับประมาณการปี 2565 ขึ้นราว 32% เป็น 1,608 ล้านบาท (+60% YoY) แม้จะมีการปรับส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจ Palm Complex ลงจาก 192 ล้านบาทเป็น 113 ล้านบาท (ปริมาณขายน้ำมันปาล์มลด หลังจากมีการปรับสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลเป็น B5) แต่เราปรับสมมติฐานค่าการตลาดน้ำมันขึ้นเป็น 1.85 บาท/ลิตร (สูงกว่า Guidance ของบริษัทฯ ที่ 1.70-1.80 บาท/ลิตร) จากเดิม 1.74 บาท/ลิตร หลังจากค่าการตลาดน้ำมันเฉลี่ย 1H65 อยู่ที่ 1.90 บาท/ลิตร สูงกว่าที่คาดไว้มาก และแม้จะมีการปรับประมาณการปี 2565 ขึ้นแต่คาดกำไรปกติปี 2566 จะยังสามารถเติบโตได้ YoY จาก 1) ปริมาณขายน้ำมันและ LPG ที่เติบโตขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการบริโภคในประเทศ 2) การฟื้นตัวของธุรกิจ Palm Complex และ 3) รายได้ของกลุ่มธุรกิจ Non-oil ที่เติบโตต่อเนื่อง (ทำให้มีผลขาดทุนจากกลุ่มธุรกิจดังกล่าวน้อยลง)

คาดกําไร 3Q65 ลดลง QoQ แต่เติบโตเด่น YoY

คาดกำไรปกติ 3Q65 ลดลง 200 จากฐานที่สูงจาก 1) ปริมาณการขายน้ำมันที่มีแนวโน้มลดลง QoQ ตามปัจจัยฤดูกาล หลังออกจากช่วงเพาะปลูกของภาคการเกษตรและไม่มีวันหยุดสงกรานต์ (ปริมาณการเดินทางท่องเที่ยวลดลง) และ 2) ค่าการตลาดน้ำมันที่มีแนวโน้มลดลง QoQ จาก 2.11 บาท/ลิตร เพราะใน 3Q65 มีจำนวนครั้งการปรับราคาขายน้ำมันดีเซลน้อยกว่าใน 2Q65 และไม่มีการปรับเพดานราคาขายขึ้น อย่างไรก็ตาม กำไรปกติจะยังสามารถเติบโตเด่น YoY จากฐานที่ต่ำในปีก่อนจากปริมาณขายน้ำมัน, LPG และธุรกิจ Non-oil ต่างๆ ที่ฟื้นตัวหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 เริ่มคลี่คลาย และไม่มีการ Lockdown เหมือนปีก่อน ทั้งนี้คาดกำไรปกติจะกลับมาเติบโต QoQ และพลิกเป็นกำไร YoY ใน 4Q65 จากการเป็นช่วง High Season ของการท่องเที่ยวในประเทศและการเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยวของภาคการเกษตร

รับมือการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำผ่านการเพิ่มปริมาณขาย

ในการประชุมครม. วานนี้ (13 ก.ย.) ได้มีมติอนุมัติการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเฉลี่ยราว 5% ทั่วประเทศ โดยจะเริ่ม มีผลในวันที่ 1 ต.ค. 65 จากการประเมินของเรา คาดการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำราว 5% จะกระทบกำไรราว 90-100 ล้านบาท/ปี (คิดเป็นสัดส่วนราว 5-6% ของกำไรทั้งปี) อย่างไรก็ตาม เราได้มีการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์ลดผลกระทบของประเด็นดังกล่าว โดยบริษัทฯวางแผนรับมือกับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นผ่านการเพิ่มปริมาณขายน้ำมันเป็นหลัก หากอิงค่าการตลาดน้ำมันที่ 1.80 บาท/ลิตร บริษัทฯ จะต้องขายน้ำมันเพิ่มอีกราว 50-60 ล้านลิตร (คิดเป็นราว 4-5% ของปริมาณขายน้ำมันปีนี้) เพื่อชดเชยผลกระทบให้ได้ทั้งหมด

ปรับราคาเหมาะสมเป็น 19.40 บาท/หุ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ”

เราปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 19.40 บาท/หุ้น (อิง PER 17.9x) มี Upside +25.2% คงคำแนะนำ “ซื้อ” นอกจากนี้ PTG ยังมีประเด็นบวกที่รออยู่คือ 1) การเข้าลงทุนในโรงไฟฟ้าขยะชุมชนขนาด 4.5MW (ถือหุ้น 51%) โดยโรงไฟฟ้าดังกล่าวอยู่ระหว่างการยื่นขอสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) คาดจะมีความชัดเจนในช่วง 4Q65-1Q66 และจะใช้เวลาก่อสร้างราว 18-24 เดือน เป็น Upside ให้กับราคาเหมาะสมได้ราว 0.20-0.30 บาท/หุ้น และ 2) การ Spinoff ธุรกิจ Palm Complex (PPPGC) และธุรกิจ LPG โดยปัจจุบันบริษัทฯได้มีการยื่น Filing สำหรับ PPPGC แล้วและคาดว่าจะเริ่มซื้อขายได้ใน 4Q65-1Q66 และในส่วนของธุรกิจ LPG บริษัทฯ วางเป้าหมายยื่น Filing ให้กับกลต. ภายใน 4Q65

- Advertisement -