บล.บัวหลวง:

Thai Union Group (TU TB/TU.BK)

TU – ตั้งเป้าเรดล็อบเตอร์พลิกเป็นกำไรในปี 2566

เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ยังคงยืนแข็งแกร่งของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง และอัตรากําไรขั้นต้นของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและอาหารทะเลแปรรูปที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น บวกกับต้นทุนค่าระวางเรือที่คาดว่าจะปรับตัวลดลงในช่วงครึ่งหลังปี 2565 เราจึงคาดว่ากําไรในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น HoH เรายังคงคําแนะนํา “ซื้อเก็งกำไร” เนื่องจากกำไรที่จะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 การปลดล็อคมูลค่าหุ้น TU จากการนำ I-Tail เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ในไตรมาส 4/65 และมูลค่าหุ้นที่ยังคงถูก โดยมี PER ปี 2565 เพียงแค่ 11.4 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 13.7 เท่า

ตั้งเป้าธุรกิจเรดล็อบเตอร์ถึงจุดคุ้มทุนในปี 2566

CEO ของ TU คาดว่าจะเห็นผลการดาเนินงานของธุรกิจเรดล็อบเตอร์ (RL) ปรับตัวดีขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า โดยมีปัจจัยหนุนมาจากการปรับราคาขายเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 เพื่อแก้ปัญหาเรื่องอัตราเงินเฟ้อและการปรับโครงสร้างองค์กรของ RL โดยถอดรองประธานบริหารหนึ่งคน และรองประธานหกคน และโปรโมทให้ผู้จัดการร้านอาหารของ RL ขึ้นมาดูแลร้านอาหารทั้งหมดจำนวน 700 แห่ง เราคาดว่า RL ที่ปรับโครงสร้างใหม่จะส่งผลให้โครงสร้างองค์กรมีความกระชับมากขึ้น การตัดสินใจรวดเร็วมากขึ้น และการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้เมนูอาหารในรูปแบบใหม่อิเล็กทรอนิกส์ล่าสุดจะช่วยกระตุ้นยอดขายและลดต้นทุนการดำเนินงานในอนาคต CEO คาดว่าปี 2566 จะเป็นปีที่ธุรกิจ RL จะพลิกกลับมาเป็นกำไร แม้ว่าเป้าส่วนแบ่งขาดทุนจากธุรกิจ RL (ที่ไม่รวมการปรับมาตรฐานบัญชีเรื่องค่าเช่า) ในปี 2565 ปรับเพิ่มขึ้นจาก 600-650 ล้านบาทไปเป็น 900-950 ล้านบาท เนื่องจากขาดทุนในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ที่มากกว่าคาด แต่เราก็ยังคงประมาณการเชิงอนุรักษ์นิยมว่าส่วนแบ่งขาดทุนของ RL (ที่ไม่รวมการปรับมาตรฐานบัญชีค่าเช่า) ที่ 1.05 พันล้านบาทในปี 2565 และส่วนแบ่ง ขาดทุนที่ 305 ล้านบาทในปี 2566

ในส่วนผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ต่อการปรับมูลค่ายุติธรรมของหุ้นบุริมสิทธิของ RL เราใช้สมมติฐานว่าจะไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับการปรับมูลค่ายุติธรรมในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 โดยอ้างอิงกับการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยจ่านวน 225bps ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 และในเดือนก.ค. และการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งครั้งในช่วงครึ่งหลังของปี 2565

ราคาปลาทูน่าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นแค่ระยะสั้นในไตรมาส 3/65; อัตรากำไรขั้นต้นคาดปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังปี 2565

ถึงแม้ว่าราคาปลาทูน่าสคิปแจ็คเฉลี่ยได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 13% MoM ไปอยู่ที่ 1,800 เหรียญสหรัฐ/ตัน ในเดือนส.ค. เนื่องจากปัจจัยด้านฤดูกาลที่ห้ามใช้อุปกรณ์ในการจับปลาบางชนิด (FAD) ในช่วงไตรมาส 3/65 แต่เรามองว่ายังอยู่ในกรอบราคาที่สามารถเจรจาต่อรองและปรับราคาขายกับลูกค้าได้ในกรอบ 1,300-1,800 เหรียญสหรัฐ/ตัน ผู้บริหารคาดว่าราคาปลาทูน่ามีแนวโน้มปรับตัวลดลงอีกครั้งในไตรมาส 4/65 จากการหมดช่วงการห้ามใช้อุปกรณ์พิเศษจับปลา ทั้งนี้ตราบใดที่ราคาปลาทูน่าไม่พุ่งสูงขึ้นไปอยู่ในระดับ 1,900-2,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน เราเชื่อว่าอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจปลาทูน่าจะยังคงสามารถบริหารจัดการได้ ในแง่ของอัตรากำไรขั้นต้น เราคาดอัตรากำไรขั้นต้นรวมมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น HoH ไปอยู่ที่ 18-18.5% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 (จาก 17.5% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565) และทรงตัว YoY (เทียบกับ 18.3% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564) ปัจจัยหลักที่จะหนุนอัตรากำไรขั้นต้นในช่วงครึ่งหลังปี 2565 ได้แก่ อัตรากำไรขั้นต้นที่ยังคงยืนแข็งแกร่งของธุรกิจสัตว์เลี้ยง และอัตรากำไรขั้นต้นที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นของธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งและอาหารทะเลแปรรูป (หลักๆ มาจากราคาขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง)

สําหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ เราคาดว่าค่าระวางเรือมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ถึงแม้ว่าได้มีการปรับเพิ่มขึ้นของค่าแรงขั้นต่ำ 8% ล่าสุด (จาก 328 บาทไปเป็น 354 บาท) ซึ่งจะเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2565 และค่าไฟฟ้าที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นในฝั่งยุโรปและเอเชีย บริษัทคาดว่าจะสามารถต่อรองปรับเพิ่มราคาขายกับลูกค้าเพื่อบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ สําหรับในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ต้นทุนค่าแรงคิดเป็น 5.5% ของต้นทุนขาย ในขณะที่ต้นทุนค่าพลังงานไฟฟ้าคิดเป็น 4% ของต้นทุนขาย และ 13% ของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร

มุ่งไปสู่เป้าหมายสําหรับในปี 2568

รายได้ ณ ปัจจุบันที่มาจากผลิตภัณฑ์ด้านนวัตกรรมอยู่ที่ประมาณ 5% (ซึ่งถือว่าอยู่ระหว่างทางที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายที่ 10% ภายในปี 2568) และอัตรากําไรขั้นต้นของผลิตภัณฑ์ด้านนวัตกรรมที่มากกว่า 20% รายได้จากธุรกิจใหม่และธุรกิจที่เกี่ยวข้องถัดไปจะคิดเป็นสัดส่วนที่มากกว่า 1 ใน 3 ของ EBITDA ภายในปี 2568 ซึ่งถือว่ายังคงอยู่ระหว่างการดำเนินการให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้จากธุรกิจสัตว์เลี้ยงและธุรกิจบรรจุภัณฑ์ ทั้งนี้ EBITDA ที่ 470 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปี 2564 ได้ว่าเกินกว่าเป้าหมายของบริษัทที่ตั้งไว้ที่ 450-550 ล้านบาทในปี 2568 ไปเรียบร้อยแล้ว

- Advertisement -