บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Action BUY (Maintain)

TP upside (downside) +17.6%

Close Sep 20, 2022 Price (THB) 91.00

12M Target (THB) 107.00

Previous Target (THB) 96.00

What’s new?

  • คาดกำไรปกติ 3Q65 มีโอกาสทำ New high จาก 1) ปัจจัยฤดูกาลของโรงไฟฟ้าพลังงานลม 2) ประสิทธิภาพที่สูงขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หลังเปลี่ยนแผง Solar 3) การปรับขึ้นค่า Ft และ 4) การส่งมอบ EV Bus ราว 250-500 คัน
  • คาดส่งมอบ EV Bus ต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปี หลังการสั่งชิ้นส่วนจากจีนทำได้ง่ายขึ้น และสามารถผลิตได้ราว 7-8 คัน/วัน คาดปริมาณการส่งมอบใน 4Q65 จะสูงขึ้น QoQ และทำให้กำไร 4Q65 มีโอกาสทำ New high ได้อีกครั้ง

Our view

  • มาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ในประเทศ (ทั้งมาตรการทางภาษีและการให้เงินอุดหนุน) เป็นบวกต่อ EA เพราะเป็นผู้ประกอบการรายเดียวที่มีโรงงานผลิตแบตเตอรี่ที่ COD แล้ว และสามารถผลิตได้ในเชิงพาณิชย์
  • ปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 107.00 บาท/หุ้น มี Upside +17.6% คงคำแนะนำ “ซื้อ”
  • EA มีประเด็นบวกที่รออยู่ คือ การเปิดตัวรถกระบะ EV ใน 4Q65 ซึ่งจะเป็นสินค้าที่หนุนการเติบโตในระยะ กลาง-ยาว

ENERGY ABSOLUTE เติบโตต่อหลังเริ่มส่งมอบ EV Bus ได้อย่างต่อเนื่อง

กำไร 3Q65 มีแนวโน้มเติบโต QoQ และ YoY หลังเริ่มส่งมอบ EV Bus

เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 3Q65 เติบโตเด่น QoQ และ YoY รวมถึงมีโอกาสทำ New high โดยการเติบโต QoQ หนุนจาก 1) การเข้าสู่ช่วง High Season ของโรงไฟฟ้าพลังงานลมใน 3Q65 2) ต้นทุนวัตถุดิบในการผลิต EV และแบตเตอรี่ที่เริ่มปรับตัวลงเช่นเดียวกับราคา Commodity อื่น หลังเศรษฐกิจโลกมีความเสี่ยงในการเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) มากขึ้น ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มฟื้นตัว QoQ และ 3) EA ได้มีการส่งมอบไปแล้วราว 200 คันในช่วง ก.ค. – ส.ค. โดยคาดจะสามารถส่งมอบได้ราว 250-500 คันใน 3Q65 (ไม่มีการส่งมอบใน 1H65) ขณะที่การเติบโต YoY จะได้แรงหนุนมากจากการส่งมอบรถ EV Bus ที่สูงขึ้น YoY (ส่งมอบ 77 คันใน 3Q64) และประสิทธิภาพที่สูงขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ หลังจากมีการเปลี่ยนแผง Solar รวมถึงการปรับขึ้นค่า Ft เป็นหลัก

คาดส่งมอบรถได้อย่างต่อเนื่อง และหนุนให้กำไร 4Q65 ทำ New High อีกครั้ง

ปัจจุบัน EA มี Backlog สำหรับรถ EV Bus อยู่ที่ราว 3,000 คัน (คำสั่งซื้อหลักมาจากกลุ่ม BYD) โดยจะทยอยส่งมอบตั้งแต่ 3Q65 ไปจนถึง 2Q66 เมื่อประกอบกับการสั่งชิ้นส่วนจากจีนที่ทำได้ง่ายขึ้น (สถานการณ์การแพร่ระบาดในจีนเริ่มคลี่คลาย) และความเร็วการผลิตของโรงงาน EV Bus ในปัจจุบันที่ราว 7-8 คัน/วัน (ถ้าเต็ม Capacity อยู่ที่ราว 9-10 คัน/วัน) จึงคาดการส่งมอบรถ EV Bus จะมีความต่อเนื่อง มากขึ้นตั้งแต่ 2H65 เป็นต้นไป ทั้งนี้ EA มีการตั้งเป้าหมายการส่งมอบรถ EV Bus ในปี 2565 จำนวน 1,200 คัน ดังนั้นจึงมีโอกาสสูงที่ปริมาณการส่งมอบจะปรับตัวสูงขึ้นใน 4Q65 และทำให้กำไรปกติ 4Q65 มีโอกาสทำ New high เป็นไตรมาสที่ 2 ติดต่อกัน

รอรับประโยชน์จากมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมแบตเตอรี่

ในวันที่ 22 ก.ย. กรมสรรพสามิตจะมีการเสนอให้บอร์ด EV พิจารณามาตรการส่งเสริมอุตสาหกรรมแบตเตอรี่รถ EV ซึ่งจะมีทั้งมาตรการทางด้านภาษีและการให้เงินอุดหนุน (อิงข่าวจากประชาชาติธุรกิจ) สำหรับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีคาดได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลราว 5-8 ปี และลดภาษีนำเข้าวัตถุดิบ (ขึ้นอยู่กับระดับของกระบวนการผลิต) ขณะที่การได้รับเงินอุดหนุนคาดจะขึ้นอยู่กับปริมาณการผลิต และคุณภาพของแบตเตอรี่เป็นหลัก โดยเรามองว่าผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากประเด็นดังกล่าวมากที่สุด คือ EA ที่เป็นผู้ประกอบการเพียงรายเดียวที่มีโรงงานแบตเตอรี่ที่ COD แล้วและสามารถผลิตได้ในเชิงพาณิชย์ นอกจากนี้ EA ยังได้รับประโยชน์จากมาตรการสนับสนุนการผลิต EV ในประเทศ เพราะมาตรการดังกล่าวมีเงื่อนไขว่าต้องใช้แบตเตอรี่ที่ผลิตในประเทศเท่านั้น (หนุนยอดขายแบตเตอรี่แบบ OEM)

เตรียมเปิดตัวรถกระบะ EV ใน 4Q65

เราปรับไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 107.00 บาท/หุ้น (อิง SOTP) มี Upside + 17.6% คงคำแนะนำ “ซื้อ” นอกจากนี้ EA ยังมีประเด็นบวกที่รออยู่ คือ การเปิดตัวรถกระบะ EV (EV Mini Truck) ในช่วง 4Q65 ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตในระยะกลาง-ยาว (ยังไม่รวมไว้ในประมาณการ) เนื่องจากเป็นกลุ่มรถที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลายในประเทศไทย (ทั้งในภาคขนส่งและภาคครัวเรือน)

ความเสี่ยงที่สำคัญ – ภาวะเศรษฐกิจถดถอยอาจทำให้การเปลี่ยนผ่านสู่ EV ช้ากว่าคาด, นโยบายการควบคุม COVID-19 ที่เข้มข้นในจีน ที่อาจทำให้การสั่งซื้อชิ้นส่วนทำได้ยาก, จำนวนโรงงานแบตเตอรี่ในไทยที่เพิ่มขึ้นหลังมี การสนับสนุนจากภาครัฐอาจทำให้ส่วนแบ่งการตลาดลดลง

- Advertisement -