ดอกเบี้ยสหรัฐฯ มีทิศทางปรับขึ้นต่อเนื่อง กดดันบาทอ่อนค่า แนะส่งออก

Market Update

ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปรับตัวลง 1.7% หลักๆ แล้ว เป็นผลจากการประชุม FED ที่แสดงถึงความเข้มงวดด้านนโยบายการเงิน ขณะที่ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT พลิกกลับมาปิดลบ 0.9% แม้ช่วงแรกจะมีรายงานออกมาว่าผู้นำรัสเซียประกาศว่าจะระดมกำลังพลจำนวน 3 แสนราย เพื่อยกระดับสงครามกับยูเครน แต่ในช่วงเวลาถัดมาตลาดกังวลกับอุปสงค์และสต็อกน้ำมันสหรัฐฯ

Market Outlook

สำหรับผลประชุม FED เมื่อคืนที่ผ่านมาปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% แม้จะเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้พอดี อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นสหรัฐกลับปรับฐานลงสาเหตุมองว่าเกิดจาก (1) ดอกเบี้ยสิ้นปี 2023 แสดงถึงความเข้มงวดมากกว่าตลาดประเมินไว้ ก่อนประชุมตลาดคาดการณ์ดอกเบี้ยสิ้นปี 2023 อยู่ที่เพียง 4.1% แต่ผลปรากฏว่า FED เปิดเผยดอกเบี้ยสิ้นปี 2023 มาอยู่ที่ 4.6% ส่วนดอกเบี้ย ณ สิ้นปี 2022 อยู่ที่ 4.4% ก็ถือว่าสอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ซึ่งดอกเบี้ยสหรัฐฯล่าสุดอยู่ที่ 3.25% และ FED เหลือการประชุมอีกทั้งหมด 2 ครั้ง โดยข้อมูลจาก CME ระบุว่าการประชุมเดือน 11 จะยังปรับขึ้นอีก 0.75% และเดือน ธ.ค. จะปรับขึ้นอีก 0.50% ข้อมูลข้างต้นคือสิ่งที่ตลาดกำลัง Price In อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามตัวเลขเงินเฟ้อใกล้ชิด หากเงินเฟ้อยังเห็นการขยายตัวหรือทรงตัวระดับสูง ความคิดของตลาดต่อดอกเบี้ยก็ย่อมเปลี่ยนแปลงได้ (2) FED ปรับอัตราการว่างงานขึ้นในปี 2023 สู่ระดับ 4.4% จากคาดการณ์เดิมการประชุม มิ.ย. ที่ 3.9% สะท้อนถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจที่มีโอกาสกระทบกับกำไรบริษัทจดทะเบียน (3) ประธาน FED กล่าวว่าการเกิด Soft Landing ยังเป็นไปได้ยาก พร้อมย้ำต่อถ้อยแถลงมิได้เปลี่ยนมากนัก จากประชุม Jackson Hole กล่าวคือต้องการเห็นเงินเฟ้อระดับ 2% โดยสรุปดอกเบี้ยสหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มปรับขึ้นต่อแต่ปีหน้า จะเริ่มเห็นการขึ้นที่น้อยลงเมื่อเทียบกับปีนี้ แต่ทั้งนี้ต้องติดตามตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ทั้งปีนี้และปีหน้าใกล้ชิด พร้อมกันทั้งนี้ Dollar Index ยังมีแนวโน้มทรงตัวระดับสูงจากดอกเบี้ยสหรัฐฯที่มีแนวโน้มปรับขึ้น แต่ขณะเดียวกันจะกดดันเงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่อง เช้านี้อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 37.21 บาท /ดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นการอ่อนค่าที่สูงสุดในรอบ 16 ปี ผลกระทบคือต้นทุนการนำเข้าจะสูงขึ้น และกดดันปัญหาเงินเฟ้อในประเทศประกอบกับนักลงทุนต่างชาติมีโอกาสขายต่อเนื่อง แต่จะเป็นบวกกับหุ้นส่งออก อาทิ ASIAN TU  แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่อยู่ระดับสูงข้อมูลในอดีตชี้ว่ามักตามมาด้วยเศรษฐกิจถดถอย ประเมิน SET INDEX วันนี้อ่อนตัวลงในกรอบ 1620 – 1632 เชิงกลยุทธ์การลงทุนยังเน้นถือครองเงินสดระดับสูง ส่วนหุ้นแนะนำระยะสั้นยังเน้นที่ Domestic Play อาทิ ค้าปลีก (BJC CRC CPALL DOHOME) สื่อสาร (ADVANC) โรงพยาบาล (BCH CHG) รับเหมา (CK STEC)

Pi Stock Picks

CK (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 26.50 บาท)

ปี 23 เบื้องต้นเราคาดรายได้ที่ 17,542 ลบ. ทรงตัวจากปี 22 แต่มี Upside หากได้รับงานสายสีส้มเข้ามา เนื่องจากตัวเลขดังกล่าวเราประมาณการจาก Backlog ปัจจุบันที่มีกว่า 59,000 ลบ. รวมกับงานหลวงพระบางที่คาดว่าจะได้รับค่อนข้างแน่นอนเท่านั้น และคาดกำไรได้ใหม่ที่ 1,073 ลบ. (+43%YoY)

ASIAN (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 21.40 บาท)

คาดกำไรมีทิศทางขาขึ้นใน 2H22 หนุนจากการขยายกำลังการผลิตในธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มเป็น 42,000 ตันต่อปี (+17% QoQ) ในช่วงปลาย 1422 สะท้อนทิศทางการเติบโตของรายได้และ GPM ที่ดีขึ้นใน 3Q22 ในช่วงที่จะรับรู้กำไรเต็มไตรมาจากกำลังการผลิตใหม่นี้ นอกจากนี้ยังเล็งเห็นกำไรขาขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลังของปี หนุนจาก high season ในธุรกิจอาหารแช่แข็ง

- Advertisement -