Our View? “Dot Plot ใหม่ทำร้ายหัวใจ”

คาดตลาดวันนี้ “ลง” มองแนวรับที่บริเวณ 1,620 / 1,615 และแนวต้านที่บริเวณ 1,640 / 1,645 คาดตลาดจะได้รับ Sentiment เชิงลบจากตลาดต่างประเทศ หลังเมื่อคืนนี้การประชุม FOMC ของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) แม้มีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.75% สู่ระดับ 3.00-3.25% ตามที่ตลาดคาด อย่างไรก็ตาม Dot Plot ซึ่งเป็นเครื่องมือบ่งชี้เป้าหมายดอกเบี้ยของ FED ในปีนี้เร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 4.4% ขณะที่ปี’66 อยู่ที่ระดับ 4.6% และปี’67 อยู่ที่ระดับ 3.9% ถือเป็นการส่งสัญญาณว่า FED จะยังคงขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในปี’66 และจะไม่ปรับลดดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 67 กระตุ้นความกังวลการปรับอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงเป็นระยะเวลานาน อาจส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐถดถอยต่อเนื่อง คาดจะกดดันทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลงได้ต่อ

ทางด้าน Dollar Index ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งจากประเด็นดังกล่าวเช่นกัน เช้านี้อยู่ที่ระดับ 1.3 จุด คาดจะกดดันทิศทางค่าเงินในภูมิภาครวมทั้งค่าเงินบาทอ่อนค่าได้ต่อ ลดทอนความน่าสนใจของกระแสเงินทุนต่างชาติ คาดจะกดดันทิศทางตลาดในภูมิภาคปรับตัวลงได้เช่นกัน พร้อมทั้งอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ (US Bond Yield) เร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง คาดจะกดดันทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยงในแง่ความน่าสนใจเมื่อเทียบกับอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม มองเป็นปัจจัยบวกต่อทิศทางหุ้นในกลุ่มประกัน (TLI และ BLA)

ขณะที่ราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI. ส่งมอบเดือน พ.ย. เมื่อคืนนี้ปรับตัวผันผวน แม้ช่วงแรงราคาน้ำมันจะได้รับแรงหนุนจากการที่ ปธน.วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ประกาศระดมพลว่า 3 แสนนายเพื่อยกระดับสงครามในยูเครน อย่างไรก็ตาม เรายังคงมุมมองแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่มีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอยตามการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ คาดจะส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันดิบที่มีแนวโน้มลดลง ยังเป็นปัจจัยหลักกดดันทิศทางราคาน้ำมันปรับตัวลงได้ต่อในระยะกลางในด้านอุปสงค์อ่อนแอ อย่างไรก็ตาม เรามองเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, GPSC และ GULF) และหุ้นในกลุ่มสายการบิน (AAV และ BA) ตามทิศทางราคาพลังงานซึ่งเป็นต้นทุนมีโอกาสลดลงต่อเนื่องในระยะถัดไป

ในส่วนของปัจจัยในประเทศระมัดระวังแรงขายของนักลงทุนต่างชาติอย่างใกล้ชิด หลังค่าเงินบาทปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 37.0 บาท คาดนักลงทุนต่างชาติอาจระมัดระวังการลงทุนในระยะสั้นมากขึ้น สอดคล้องกับมุมมองของเราก่อนหน้าให้ระมัดะวังการลงทุนในตลาดหุ้นไทย หากตลาดหุ้นไทยที่อยู่เหนือระดับ 1,640 จุด ซึ่งถือเป็นโซนที่ Valuation ของตลาดในปัจจุบันจะเริ่มตึงตัวมากขึ้น จาก Forward PE เข้าใกล้ระดับ 16 เท่า คิดเป็น 0.5 S.D. ในปีนี้ คาดจะกดดันทิศทางตลาดได้ ซึ่งทำให้เราคาดว่าในระยะถัดไปต่อจากนี้อาจเห็นตลาด Rotate กลุ่มในตลาดหุ้นไทยจากกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนได้ดีในช่วงก่อนหน้า อาทิ หุ้นในกลุ่มพลังงาน (PTTEP, TOP, SPRC และ BCP), ปิโตรเคมี (IVL และ PTTGC) และโรงพยาบาล (BH และ BDMS) เข้าหาหุ้นในกลุ่มที่ยัง Laggard และมีแนวโน้มที่กำไรจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นได้ชัดเจนมากขึ้นในไตรมาส 4 อาทิ หุ้นในกลุ่มค้าปลีก (CPALL, BJC และ MAKRO), รับเหมาก่อสร้าง (CK, STEC, ITD และ SYNTEC), สื่อ-โฆษณา (PLANB และ VGI) อาหารและเครื่องดื่ม (TKN, SUN, TWPC, GFPT, TFG, CFRESH และ ASIAN) และหุ้นในกลุ่มธนาคาร (KBANK, SCB และ BBL) ได้บ้าง อีกทั้งเรามีมุมมองเชิงบวกต่อการที่รัฐบาลคาด 4Q′65 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจะอยู่ที่ระดับ 1.5 ล้านคน/เดือน ซึ่งจะทำให้คาดการณ์ตัวเลขนักท่องเที่ยวไทยปีนี้ขึ้นสู่ระดับ 10 ล้านคน/ปี ขณะที่คาดว่าในปี 66 การท่องเที่ยวไทยตัวเลขนักท่องเที่ยวไทยจะกลับมาอยู่ที่ระดับ 32 ล้านคน/ปี คิดเป็นราว 80% ของช่วงก่อนเกิด COVID-19 มากกว่าที่ตลาดคาดไว้ก่อนหน้าที่ราว 50-60% คาดจะหนุนทิศทางหุ้นในกลุ่มโรงแรม-ท่องเที่ยว-สายการบิน (AOT, MINT, CENTEL, ERW, SHR, VRANDA, AAV และ BA) ปรับตัวขึ้นได้อีกครั้ง

ธีมการลงทุน “Selective Play”

หุ้นแนะนําวันนี้ “TWPC”

กลยุทธ์ ซื้อเล่นสั้น แนวรับ 5.30 / 5.15 Target 5.85 / 6.50 Stop <5.15

- Advertisement -