FED Impact ยังมี ตลาดหุ้นไทยอาจยังย่อต่อ เน้น Selective Buy

ตลาดหุ้นวานนี้… SET Index ปิดที่ 1,621.25 จุด ลดลง 10.46 จุด ( 0.64%) มูลค่าการซื้อขาย 71,260.06 ล้านบาท มีความกังวลต่อเนื่องในการเดินหน้าเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด

แนวโน้มตลาดวันนี้… คาด SET Index แกว่งตัว Sideway down ต่อ ลุ้นทดสอบแนวรับ 1620/1600 ยังเน้น Selective play ในหุ้นรายตัว

  • ความสนใจของนักลงทุนกลับมาที่การประชุม กนง. ในวันที่ 28 ก.ย. นี้ โดยคาดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% เพื่อรับมือกับส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย (Interest rate Spread) ที่มากขึ้น ล่าสุดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างไทยและสหรัฐอยู่ที่ 2.50% (ไทย 0.75%/สหรัฐ 3.25%) โดยหากปรับขึ้นเพียง 0.25% จริง จะทำให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยไทยและสหรัฐยังกว้างอยู่ จึงมีแนวโน้มที่จะยังกดดัน Fund flow ต่อด้านดุลการค้าเองก็ยังคงสะท้อนภาพขาดดุลอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 นั่นคือมีความต้องการในสินค้าไทยน้อย จึงทำให้ยังเห็นยอดนำเข้ามากกว่ายอดส่งออกสุทธิ -4,215.4 ล้านเหรียญดอลลาร์สรอ. โดยรวมจึงมองค่าเงินบาทไทยจะยังคงอิงทางอ่อนค่าต่อไป โดยมีแนวโน้มจะอ่อนค่าแตะระดับ 38 บาทต่อดอลลาร์ เป็นบวกต่อหุ้นบาทอ่อน
  • ราคาน้ำมันดิบ WTI มีแนวโน้มปรับตัวลงต่อ หลังทำจุดต่ำสุดในรอบ 8 เดือนวานนี้ ท่ามกลางแรงกดดันจาก Dollar Index ที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดแตะระดับ 114 จุด โดยแม้จะมีแรงกดดันจากการเข้าแทรกแซงค่าเงินของ BOJ เพื่อให้เงินเยนไม่อ่อนค่าจนเกินไป แต่การแข็งค่าขึ้นดังกล่าวยังไม่สามารถกดดัน Dollar Index ให้ อ่อนค่าลงได้ แม้มีสัดส่วนในการคำนวณมากเป็นอันดับ 2 จาก 6 สกุลเงิน
  • OECD ปรับลดประมาณการการเติบโตของจีดีพีโลกปี 2566 เหลือ 2.2% จาก 2.8% จากแนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากวิกฤติรัสเซีย-ยูเครน ที่ยังคงตึงเครียดอยู่ ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้วิกฤติพลังงาน และภาวะเงินเฟ้อรุนแรงมากขึ้น รวมถึงคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของชาติมหาอำนาจส่วนใหญ่จะอยู่ที่ระดับ 4% ในปีหน้า แต่เรามองว่าเศรษฐกิจไทยยังคงแข็งแกร่งจากภาคการส่งออกและท่องเที่ยวที่โดดเด่น แนะนำสะสมกลุ่ม Domestic play
  • พายุโนรู จะเคลื่อนที่เข้าไทยในวันที่ 29 ก.ย.นี้ ซึ่งคาดจะส่งผลให้ไทยมีฝนตกหนาแน่นช่วงวันที่ 28-30 ก.ย. จึงมองเป็นโอกาสให้หุ้นในกลุ่มซ่อมสร้างบ้าน เช่น COTTO UMI TOA หุ้นพลังงานน้ำ เช่น CKP กลุ่มค้าปลีก เช่น GLOBAL DOHOME
  • กลยุทธ์การลงทุน 1. อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น KBANK SCB BBL TLI BLA 2. ค่าเงินบาทอ่อนค่า CFRESH TFG ICHI AH SICT 3. Anti-oil GPSC BGRIM 4. Defensive ADVANC BDMS BH PR9 CPALL BAM 5.ซ่อมสร้างบ้าน COTTO UMI TOA 6.โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ CKP 7. กลุ่มค้าปลีก GLOBAL DOHOME

เคาะไป คุยไป CPALL

Investment Highlights

  • แนวโน้ม 2H65 เรามองว่าจะเติบโตทั้ง HoH และ YoY จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่คลี่คลาย โดย ศบค.ยกเลิกประกาศการบังคับใช้พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 กลับไปใช้ พ.ร.บ.โรคติดต่อมีผล 1 ตุลาคมนี้ ส่งผลให้ประชาชนกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติ นักเรียนเข้าเรียนตามปกติ และนักท่องเที่ยวยังเดินทางเข้ามายังประเทศไทยมากขึ้นด้วย ด้านเป้าขยายสาขาปีนี้จะเพิ่มขึ้นอีก 700 สาขา งวด 1H ขยายไปแล้ว 299 สาขา (43% ของเป้า) จากปัจจุบันที่ 13,433 สาขา สำหรับ 3Q65 มองว่ายอดค่าใช้จ่ายต่อบิลจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 84 บาท/บิล ตามภาวะเงินเฟ้อและการเปิดเมือง และ SSSG ยังเพิ่มขึ้นได้ในระดับ double digit (10-12%) ส่วนด้าน GPM มีแนวโน้มลดลงเล็กน้อย จาก product mix ที่เน้นกลุ่ม Foods มากขึ้น และภาระดอกเบี้ยสูง
  • ด้านปัจจัยลบจากกลุ่ม CP ยื่นประมูลซื้อกิจการ Metro ในอินเดีย 3.6 หมื่นล้านบาท (สูงที่สุด) ซึ่งตลาดมองว่าค่อนข้างแพง และหากผ่าน Regulation ในอินเดีย ก็จะนำมาเป็นบริษัทย่อยของ MAKRO (CPALL ถือหุ้น MAKRO 34.97%) ที่ทำธุรกิจ cash and carry เช่นกัน จะส่งผลต่อภาระดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ประกอบกับความกังวลต้นค่าไฟที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเรามองว่าตลาดได้สะท้อนปัจจัยลบไปบางส่วนแล้ว ขณะที่ประเด็นการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ มองว่าไม่กระทบกับค่าใช้จ่ายด้านพนักงานมากนัก เนื่องจาก ค่าจ้างรายวันยังสูงกว่าขั้นต่ำ แต่กลับเป็นผลดีมากกว่าที่จะทำให้ลูกค้ามีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น

Investment Strategy

Source : Aspen

แนะนำ “เคาะ” แท่งเทียนเรียงตัวหรือแกว่งตัวลงตามกันกับ SMA5วัน ที่ทำหน้าที่เส้นแนวต้านขาลง วิเคราะห์กราฟ Weekly Chart ปิดตัวด้วยแท่งเทียนโดจิ และปิดยืนแนวรับ Double Bottom รอบก่อนหน้า 56.25 ยืนเหนือมั่นคงมีโอกาสเกิด Key Reversal ระหว่างวันกรอบแนวรับ 56.25-55.75 เป็นจุดพิจารณาสำคัญ

คําแนะนําของ ASL

กรณี “มีหุ้น” ถือ เพิ่มการลงทุน/แนวต้าน 58/59.75 มีโอกาส ทดสอบ

กรณี “ไม่มีหุ้น” ซื้อระยะสั้นเน้นยืนแนวรับ 56.25-55.75 ไม่ควรต่ำกว่า

กระแสข่าวหุ้น

ประเด็น

  • ปรับวาระประชุมฯ JASIF เพิ่มความมั่นใจผู้ถือหน่วย หวังไฟเขียวโหวต ADVANC เข้าซื้อหน่วยลงทุน – กองทุน JASIF ซื้อใจผู้ถือหน่วยอีก แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอเปลี่ยนแปลงวาระการประชุมวิสามัญฯ วันที่ 18 ต.ค.นี้ เปิดโอกาสให้ผู้ถือหน่วยออกเสียงได้ในแต่ละเรื่องอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจต่อการอนุมัติเข้าทำรายการของบมจ.แอดวานซ์ฯ (ADVANC) ที่จะเข้ามาซื้อหน่วยลงทุนใน JASIF
  • ศาลยกฟ้อง KTB คดี AQ ร้องแก้งบ บุ๊กหนี้ 3.9 พันล้าน – ศาลยกฟ้อง KTB คดีแพ่ง กรณี AQ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องขอให้ธนาคารกรุงไทยแก้ไขงบการเงิน Q1/62 เพื่อนำเงิน 3,898 ล้านบาท จากการขายสินทรัพย์ทอดตลาดที่ดิน 4,300 ไร่ของ “โกลเด้น เทคโนโลยีฯ” ไปบันทึกเป็นค่าความเสียหาย คดีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
  • STARK ทุ่มงบ 2 หมื่นล้าน ซื้อบริษัทสายไฟเยอรมัน – STARK บริษัทรายได้เฉียด 3 หมื่นล้านบาท คิดการใหญ่! หลังผู้ถือหุ้นไฟเขียวทุ่มกว่า 2 หมื่นล้านบาท ซื้อหุ้น LEONI Kabel GmbH และ LEONIsche Holding Inc ผู้ผลิตสายไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ และ EV charging solutions อันดับ 1 ของโลกสัญชาติเยอรมันในสัดส่วน 100% ต่อยอดสู่ Automotive และ EV คาดธุรกรรมเสร็จไตรมาส 4/65 จ่อรับรู้รายได้และกำไรส่วนเพิ่มทันที
  • SYNEX ปีนี้รายได้นิวไฮ 4 หมื่นล้าน ไอโฟน 14 หนุนยอดขายครึ่งปีหลังโตไม่หยุด – SYNEX มั่นใจรายได้ปีนี้ทำนิวไฮ ทะลุ! 40,000 ล้านบาท โตไม่ต่ำ 12% จากปีก่อนที่มีรายได้ 3.7 หมื่นล้านบาท พร้อมรักษากำไรขั้นต้นระดับ 4-5% ประเมินไตรมาส 3/65 รายได้โตต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ซี้ดีมานด์ พุ่ง-ออเดอร์ไอโฟน 14 ล้น ขณะไตรมาสสุดท้ายของปียังเป็นไฮซีซั่นธุรกิจ
  • NCH เปิด 2 โครงการ 1.6 พันล้าน ตั้งเป้ายอดขาย 180 ล้าน ใน Q4 นี้ – NCH ปักหมุดโซนเหนือ ล่าสุดเปิดตัวพร้อมกัน 2 โครงการ มูลค่ารวม 1,600 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 180 ล้านบาท ภายในไตรมาส 4/65 นี้
  • CI ผนึกซิกซ์เน็ตเวิร์กนำบล็อกเชน เสริมแกร่งธุรกิจอสังหาฯ-โรงแรม – CI จับมือ “ซิกซ์ เน็ตเวิร์ก” (SIX Network) ขยายสู่เทคโนโลยีบล็อกเชน เสริมแกร่งธุรกิจอสังหาฯ-โรงแรม รองรับการเปลี่ยนแปลง เล็งออก NFT ไตรมาส 1/66 ขณะที่ภาพรวมครึ่งปีหลังฟื้นต่อเนื่อง หนุนรายได้ปีนี้โตไม่ต่ำกว่าปีก่อน
  • OECD หั่นจีดีพีโลกปีหน้าเหลือ 2.2% – องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี หรือ OECD) ปรับลดประมาณการการเติบโตของจีดีพีโลกปี 2566 เหลือ 2.2% จาก 2.8% เนื่องจากแนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากวิกฤติ ‘รัสเซีย-ยูเครน” ที่ยังคงตึงเครียดอยู่ ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้วิกฤติพลังงาน และภาวะเงินเฟ้อรุนแรงมากขึ้น

XD Events

Source : SETSMART

GLOBAL MARKET

Source : NewsCenter

- Advertisement -