บล.บัวหลวง:

EV – รู้ไว้ก่อนจะสาย (OVERWEIGHT)

ทางภาครัฐกำลังกระตุ้นการผลิตสินค้าเกี่ยวกับยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยนอกจากกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์แล้ว เรามองว่ากลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ก็จะได้รับผลประโยชน์เช่นกันจากมาตรการจูงใจของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ซึ่งเรามองว่าตอนนี้เป็นจังหวะในการเข้าลงทุนในกลุ่มนี้ก่อนที่เทรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าจะมีใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยเราได้เลือก 4 หุ้น สําหรับธีมยานยนต์ไฟฟ้า ได้แก่ ผู้ผลิตชิ้นส่วน AH และ SAT ผู้ผลิตสถานีชาร์จ FORTH และผู้ประกอบรถบัสไฟฟ้า NEX

ผู้เล่นรายใหม่มาพร้อมแผนใหญ่

เราคาด NEX จะส่งมอบรถบัส 1,000 คันในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 และจะรายงานกำไรเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2560 โดยในปี 2566 เราคาดว่ายอดผลิตทั้งปีจะโดดขึ้นไปที่ 5,000 คัน สำหรับ FORTH ธุรกิจสถานีชาร์จยังอยู่ ในช่วงเริ่มต้น ระหว่างนี้ FORTH จะขยายเต่าบินหรือบาริสต้าอัตโนมัติ (บริษัทคาดจะมีตู้เต่าบินถึง 6 พันตู้ทั่วประเทศภายในสิ้นปี 2565 และที่ 2 หมิ่นภายในสินปี 2567) เมื่อสัดส่วนยานยนต์ไฟฟ้าต่อยานยนต์ทั้งหมดมาก พอ ธุรกิจสถานีชาร์จจะขยายได้เร็ว (เหมือนที่ได้ทำตู้เต่าบินมา) ทั้งนี้ ก่อนที่ธุรกิจสถานีชาร์จจะสร้างรายได้ให้อย่างมีนัย เราคาดกำไรหลักของบริษัทจะเติบโตถึง 21% ในปี 2565 และ 77% ในปี 2566

ไม่ถูกทดแทน แด่ก้าวสู่ EV

ยอดขายชิ้นส่วนเครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) คิดเป็นเพียง 3-7% ของรายได้ของ AH และ SAT โดย AH ก็ทำชิ้นส่วนให้ยานยนต์ไฟฟ้าอยู่แล้ว ทำส่งให้ผู้ผลิตในไทย เช่น MINE (แบรนด์ของ EA และ NEX) และบริษัท รถยนต์ในต่างประเทศ เช่น Porsche Maserati และ VinFast เนื่องจาก AH มีโรงงานในประเทศจีนอยู่แล้ว จึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบริษัทยานยนต์ในประเทศจีนหลายรายอยู่แล้ว ดังนั้นบริษัทน่าจะมีข้อได้เปรียบที่จะได้คำสั่งซื้อ ของบริษัทยานยนต์ประเทศจีนที่จะมาเปิดโรงงานในประเทศไทย นอกจากนี้ ประชาชาติรายงานว่า AH ได้รับเชิญให้เข้าร่วมสมาคมผู้ผลิตรถยนต์จีนที่กำลังจัดตั้งขึ้นในประเทศไทยอีกด้วย

เศรษฐกิจมหภาพทั่วโลกมีแนวโน้มที่อ่อนแอ แต่เศรษฐกิจไทยจะยังเติบโต หนุนจากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว ดังนั้น SAT (ประกอบธุรกิจในประเทศไทย) จะมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า AH ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 นอกจากนี้ สมบูรณ์ ทรอน เอนเนอร์จี บริษัทร่วมทุนยานยนต์ไฟฟ้าที่จัดตั้งกับ Tron E (ผู้ผลิตรถบัสไฟฟ้าชั้นนำของประเทศไต้หวัน) คาดว่าจะส่งมอบรถบัสไฟฟ้าคันแรกได้ในไตรมาส 4/65

มูลค่าที่น่าดึงดูด

เราชอบ FORTH และ NEX มากที่สุด เนื่องจากเรามั่นใจในภาพของการเติบโตของธุรกิจและกำไรที่รวดเร็ว โดยในปัจจุบันการเติบโตของ FORTH จะมาจากเต่าบินเป็นหลัก ขณะนี้ FORTH ซื้อขายที่ PER ปี 2565 ที่ 59 เท่า ซึ่งอาจจะดูว่าค่อนข้างสูง แต่เต่าบินจะขยายตัวอย่างรวดเร็วในปี 2566 ดังนั้น PER ในปี 2566 จะลงมาเหลือแค่ 33 เท่า ซึ่งต่ำกว่ากรอบ PER ที่ 40-45 เท่าของกลุ่มเทคโนโลยีที่เราให้คำแนะนำ บนสมมุติฐานการเติบโตของกำไรสุทธิต่อหุ้นที่ 77% ในปี 2566 จะมีอัตราส่วน PEG เพียง 0.4 เท่า สําหรับ NEX เราคาดจะพลิกมารายงานกําไรในปี 2565 และจะเติบโตถึง 507% ในปี 2566 NEX มีมูลค่าการซื้อขายบนระดับ PER ปี 2565 ที่ 87 เท่า ซึ่งอาจจะดูสูงมากแค่มี PER ปี 2566 ที่เพียงแค่ 16 เท่า ส่งผลให้อัตราส่วน PEG อยู่ที่เพียง 0.04 เท่า

AH และ SAT มีมูลค่าการซื้อขายบน PER ปี 2565 ที่เพียง 9.3 เท่าและ 9.7 เท่าตามล่าดับ ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ที่ 11 เท่าอย่างมีนัย

- Advertisement -