Our View? “เหมือนเดิม”

คาดตลาดวันนี้ “Sideways” มองแนวรับที่บริเวณ 1,585 / 1,577 และแนวต้านที่บริเวณ 1,600 / 1,606 คาดตลาดอาจยังคงได้รับ Sentiment เชิงลบจากตลาดต่างประเทศบ้าง ตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐยังคงปรับตัวลงต่อเนื่อง โดยเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE) เดือน ส.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้น +4.9% YoY และ +0.6% MoM มากกว่าที่ตลาดคาดไว้ก่อนหน้า สะท้อนภาพเงินเฟ้อสหรัฐมีโอกาสอยู่ในระดับสูงไปอีกระยะหนึ่ง เป็นปัจจัยเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับการปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เพื่อสกัดเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม คาดตลาดรับรู้ประเด็นดังกล่าวไปบ้างพอสมควรแล้ว โดย CME FEDWatch Tools ยังคงคาดการณ์ FED จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% และ 0.50% ในการประชุม FOMC เดือน พ.ย. และ ธ.ค. ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายของ FED อยู่ที่ระดับ 4.50% ในช่วงสิ้นปีนี้ และคาดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงไปอีกทั้งปี’66 ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย คาดยังเป็นปัจจัยจำกัด Upside การฟื้นตัวของราคาสินทรัพย์เสี่ยงในระยะกลางได้อยู่

สำหรับประเด็น ปธน.วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ประกาศผนวกดินแดน 4 แคว้นของยูเครนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียอย่างเป็นทางการ ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ผู้นำสหรัฐ-ยุโรป ออกมาประกาศคว่ำบาตรรัสเซียรอบใหม่ เราคาดจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดมากนัก

ทางด้านราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI ส่งมอบเดือน พ.ย. เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมาวกตัวลงอีกครั้ง -1.74 ดอลลาร์ ปิดที่ระดับ 79.49 ดอลลาร์/บาร์เรล (-2.14%) ยังคงได้รับแรงกดดันจากอุปสงค์น้ำมันดิบโลกที่มีแนวโน้มอ่อนแอลงตามเศรษฐกิจโลกมีโอกาสเข้าสู่ภาวะถดถอย ตามการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ ทั่วโลกเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ คาดจะกดดันทิศทางราคาหุ้นในกลุ่มพลังงานได้อยู่ในระยะกลาง อย่างไรก็ตาม แนะนำติดตาม การประชุม OPEC+ ในวันที่ 5 ต.ค. นี้ โดยเราเริ่มเห็นคาดการณ์ว่า OPEC+ อาจปรับลดกกำลังการผลิตน้ำมันในเดือน พ.ย. ลงราว 0.5-1.0 ล้านบาร์เรล/วัน หลังราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวลงในช่วงก่อนหน้า แม้อาจส่งผลให้ราคาน้ำมัน-หุ้น ในกลุ่มพลังงานรีบาวด์ในระยะสั้นได้บ้าง แต่คาดจะไม่ส่งผลกระทบต่อทิศทางในระยะกลางมากนัก จากเดิมที่ OPEC+ ในช่วงก่อนหน้าไม่สามารถผลิตน้ำมันได้ตามโควต้าของการประชุมได้อยู่แล้ว

ในส่วนของปัจจัยในประเทศเรามีมุมมองเชิงบวกต่อการที่ผู้ว่าธปท. คาดเศรษฐกิจไทยจะกลับสู่ภาวะปกติได้ในช่วงปลายปี′65-ต้นปี’66 โดย ธปท.จะส่งเสริมให้ระบบเศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างราบรื่น (Smooth take off) และจะเร่งแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เกิดขึ้นในช่วง COVID-19 เช่นเดียวกับเราที่คาดว่าเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 4 คาดจะเห็นการฟื้นตัวชัดเจนมากขึ้น จากแรงขับของภาคการท่องเที่ยวและการบริโภคภายในประเทศ โดยเราคาดว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวทั้งปีหน้าอาจปรับตัวขึ้นมากกว่าระดับ 10 ล้านคน คาดจะหนุนทิศทางหุ้นในกลุ่ม Re-Opening Play ปรับตัวขึ้นได้ต่อ (CPALL, MAKRO, MAJOR, BJC, MINT, SHR และ VRANDA) ขณะที่เริ่มเห็นสัญญาณของ ธนาคารพาณิชย์ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้แล้ว มองเป็นปัจจัยบวกหุ้นในกลุ่มธนาคาร (BBL KBANK, SCB และ TTB)

ขณะที่เรามีมุมมองเป็นกลางต่อการที่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 6/3 ให้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่สิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากยังดำรงตำแหน่งไม่ครบวาระ 8 ปีตามที่รัฐธรรมนูญฉบับปี’60 คาดจะไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดมากนัก แต่คาดอาจเห็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองอาจมีมากขึ้นในระยะถัดไป โดยเรามองเป็นเพียง Noise รบกวนตลาดในระยะสั้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตามเรายังแนะนำให้ระมัดระวังแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงขายสุทธิตลาดหุ้นไทย และอยู่ในฝั่ง Short SET50 Index Futures ต่อเนื่อง จากทิศทางค่าเงินบาทที่ยังอ่อนค่าอยู่ในระดับสูง คาดยังเป็นปัจจัยจำกัด Upside การฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยได้อยู่

ธีมการลงทุน “Selective Play”

หุ้นแนะนําวันนี้ “MAJOR”

กลยุทธ์ เล่นรีบาวด์ แนวรับ 17.50 / 17.30 Target 18.80 /19.80 Stop <16.90

- Advertisement -