เคลื่อนไหวกรอบแคบจากการที่กำลังเข้าสู่วันหยุดคาบเกี่ยว

Market Update

ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.12% หลักๆ เป็นเพียงแรงซื้อปกติหลังตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลงต่อเนื่องช่วงที่ผ่านมา สอดคล้องกับราคาน้ำมันดิบ BRT ที่ลดลง 2% นักลงทุนกลับมากังวลกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยและความกังวล COVID-19 ในจีนที่จะส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันลดลง

Market Outlook

เมื่อคืนที่ผ่านมาทาง IMF ออกมาปรับลด GDP 23E สู่ระดับ 2.7%YoY จาก 2.9%YoY ในรายงานครั้งก่อน (ก.ค.) หลักๆ เป็นผลจากเงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้น การชะลอตัวของจีน และการระบาดของ COVID-19 นอกจากนี้ยังกล่าวเพิ่มเติมว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีหน้ายังมี Downside และก็มีความเป็นไปได้ที่จะต่ำกว่า 2% ขณะที่กล่าวอีกว่าภาวะที่เลวร้ายที่สุดกำลังรออยู่ข้างหน้า และประชาชนจำนวนมากจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า ทั้งนี้เรามองผลประชุม IMF มิได้สร้างความประหลาดใจอย่างใดต่อตลาดหุ้นสะท้อนผ่านมาตลาดหุ้นสหรัฐฯ และ EU ที่แกว่งลงเฉลี่ยเพียง 1% +/- จึงมองผลประชุมไม่มีผลอะไรมากต่อตลาดหุ้น

สำหรับตลาดหุ้นไทย วันนี้มีความเสี่ยงจะอ่อนตัวลงในกรอบ 1553 – 1561 เนื่องจากตลาดหุ้นไทยจะปิดทำการในวันพรุ่งนี้และเปิดทำการอีกทีวันจันทร์ ขณะที่ในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยปิดทำการสหรัฐฯ จะมีการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อฯทั้งฝั่งของผู้ผลิต (คืนนี้) และฝั่งผู้บริโภค (พรุ่งนี้) ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นตัวเลขสำคัญที่ ตลาดจับตารอดู สำหรับเงินเฟ้อของผู้บริโภค Bloomberg คาดที่ 8.1%YoY ลดลงจากครั้งก่อนหน้าที่ 8.3%YoY ทั้งนี้หากออกมาแล้วต่ำกว่าตลาดคาดหมายไว้ก็จะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้น ให้ปรับเพิ่มขึ้นในสัปดาห์หน้า นอกจากตัวเลขเศรษฐกิจแล้ว ตลาดจะเริ่มจับตารอดูผลประกอบการวันนี้ คาดจะเห็น TISCO รายงานผลประกอบการ 3Q22 และสัปดาห์หน้าคาดว่ากลุ่มธนาคารฯ ก็จะเริ่มประกาศ

เชิงกลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนระยะสั้นรับความเสี่ยงต่ำมิควรมีสถานะข้ามวันหยุดยาว เนื่องจากหากเงินเฟ้อสูงกว่าคาดหมาย ตลาดหุ้นในสัปดาห์หน้ามีโอกาสอ่อนตัวลงทันที ส่วนหุ้นแนะนำวันนี้ กลุ่มได้ประโยชน์ราคาน้ำมันปรับลง (SCC SCGP TOA) โรงไฟฟ้า (BGRIM GPSC) กลุ่มค้าปลีก (BJC CRC CPALL HMPRO) สื่อสาร (ADVANC INTUCH) ขนส่ง (BEM) ร้านอาหาร (M)

Pi Stock Picks

M (ชื้อ / ราคาเป้าหมาย 64.00 บาท)

คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/22 ที่ 426 ล้านบาท (-3%QoQ) พลิกฟื้นจากขาดทุน 257 ล้านบาทในไตรมาส 3/21 การฟื้นตัวอย่างมาก YoY ได้แรงหนุนจาก 1) การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่แข็งแกร่ง ระดับ +104%YoY หลังจากกลับมาให้บริการทานอาหารที่ร้าน บวกกับความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ฟื้นตัว และ 2) การปรับราคาขายในเดือน มิ.ย. 2022

CK (ชื้อ / ราคาเป้าหมาย 27.50 บาท)

Backlog ณ 1H22 ของ CK อยู่ที่ 59,715 ลบ. โดยในเดือน ก.ย. มีการเซ็นสัญญางานใหม่อีก 3,200 ลบ. ทั้งนี้ในปี 22 CK มีโอกาสได้รับงานขนาดใหญ่เพิ่มอีก 2 โครงการ ได้แก่ งานเขื่อนหลวงพระบางมูลค่ากว่า 70,000-80,000ลบ. และงานรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตะวันตก) ที่ทาง BEM เป็นผู้ชนะการประมูลมีมูลค่างานโยธากว่า 90,000 ลบ. ซึ่งเราคาดว่า BEM จะให้ทาง CK เป็นผู้ก่อสร้างหลัก และจะทำให้ Backlog ของ CK มีโอกาสปรับตัวสูงได้ถึงระดับ 200,000 ลบ.

- Advertisement -