รอบด้านตลาดหุ้น: วันนี้คาดดัชนีพักเพื่อเล่นขึ้นต่อ

Market wrap & Outlook

  • วานนี้ดัชนี Sideways หุ้นลบกดดันตลาดนำโดย BDMS BH RAM PTTEP DELTA EA MAKRO JTS JASIF ส่วนหุ้นบวก TLI BBL KBANK SCB และบวกแรง เช่น AMARC (IPO น้องใหม่) TSR YGG PROEN
  • วันนี้คาดดัชนีพักเพื่อเล่นขึ้นต่อ หลังจากตลาดรีบาวด์จากกรอบล่างขึ้นมารอบนี้ ตามการไล่ราคาหุ้น 1) ราคาจมอยู่ด้านล่าง เช่น GPSC BGRIM KCE HANA MINT ฯลฯ 2) เล่นดักกำไรดี เช่น COM7 SNNP 3) หุ้นใหญ่จาก Sector rotation เช่น ขาย รพ.(เตือนกำไรไม่ดี) เข้าพัก ในธนาคาร (กำไรดี) และ พลังงาน โรงกลั่น (เล่นตามราคาน้ำมันดิบ และ ฤดูกาลโรงกลั่น)…วันนี้ กลยุทธ์ แนะเล่นตาม Sector rotation กอปรกับวันนี้ ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯพุ่งทะลุและยืนเหนือระดับ 4.14% (all time high) คาดหนุนราคาหุ้นธนาคาร และประกันชีวิต รวมถึงราคาน้ำมันดิบรีบาวด์ คาดหนุน พลังงานต้นน้ำ…เป็นต้น

What to watch

  • ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐทะลุ 4% และยืนเหนือ 4.15% ได้เป็นครั้งแรก
  • จากเงินเฟ้อยุโรปที่ยังพุ่งและยืนในระดับสูงตามรายงานในสัปดาห์นี้ คาดสัปดาหหน้า 27 ตค. ECB จะเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.75% (ดอกเบี้ยขาขึ้นยังไม่จบ)
  • ฤดูมรสุมในแถบสหรัฐ ได้เริ่มขึ้นเร็วตั้งแต่ต้นเดือน ตค. เริ่มจากเฮอริเคน เอียนที่สร้างความเสียหายไปกว่า 2.8-4.7 หมื่นล้านเหรียญ ล่าสุด เฮอริเคนจูเลีย และ ในเวเนซุเอลา ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันสำคัญรับผลกระทบฝนตกหนักโคลนถล่มไปเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว ตอนนี้ศูนย์พยากรณ์อากาศสหรัฐกำลังเฝ้าติดตามการก่อตัวของพายุลูกใหม่ที่อัพเดทไปเมื่อ 17 ตค. ที่ผ่านมา…

หุ้นแนะนำวันนี้

TLI  SCB  ผลตอบแทนพันธบัตรทั้งในและต่างประเทศที่บวกแรงขานรับแนวโน้มการขยับดอกเบี้ยขึ้นต่อเนื่อง เป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคารและประกันฯ

Technical Daily (T)

แผนแก้เกมส์+แผนซื้อเพิ่ม
แนะนำ  ซื้อ
DITTO  แนวรับ 72-73 แนวต้าน 80 และ 82 ( Stop loss < 70)
GFPT  แนวรับ 14.8-15 แนวต้าน 16.5 และ 17 ( Stop loss < 14.6)
PRM  แนวรับ 6.1-6.2 แนวต้าน 6.8-7 ( Stop loss < 5.9)

Global Investing Brief: Tesla ปรับลง 6% ช่วง After Hours แม้เผยกำไร 3Q65 ดีกว่าคาด

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ

  • เมื่อคืนนี้ดัชนี DJIA -0.3%, S&P 500 -0.7% และ Nasdaq -0.9% กดดันจาก Microsoft (MSFT) -0.9% และ Alphabet (GOOGL) -1.1% หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นแตะ 4.1% สูงสุดในรอบ 14 ปี ด้าน Tesla (TSLA) เผยงบ 3Q65 มีกำไรโต 75%YoY แตะ $3.3bn ดีกว่าตลาดคาด หนุนจากรายได้การส่งมอบรถยนต์ที่โต 55%YoY แตะ $18.7bn โดยบริษัทยังคงคาดการณ์ว่าจะยังสามารถบรรลุการเติบโตปีละ 50%YoY ในการส่งมอบรถยนต์ช่วง 3-4 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ดี Elon Musk ยังมีความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในจีนและยุโรป ซึ่งอาจเป็นปัจจัยกดดันจำนวนส่งมอบรถ ส่งผลให้หุ้น -6% ช่วง after hours
  • Procter & Gamble (PG) เผยงบ F1Q66 รายได้โต 1%YoY แตะ $20.6bn โดยหากไม่รวมผลกระทบจากค่าเงินรายได้จะโตราว 7%YoY และกำไรหดตัว 4.2%YoY สู่ $3.9bn ดีกว่าตลาดคาด หลังบริษัทขึ้นราคาผลิตภัณฑ์เพื่อบรรเทาต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมีความต้องการสูงขึ้น หนุนจากผลิตภัณฑ์ใหม่และผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการอัพเกรด ทั้งนี้ บริษัทปรับลดคาดการณ์กำไรปีบัญชี 66 ลงเหลือหดตัว 1%-3% จากครั้งก่อนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 2% กระทบจากค่าเงิน ด้าน Bloomberg Cons. ให้ TP ที่ $145.09

ตลาดหุ้นฮ่องกง

  • วานนี้ดัชนีฮั่งเส็งปรับลง 2.4% กดดันจาก Meituan (3690) -6.1%, JD.com (9618) -5.6%, Sunny Optical (2382) -4.7% แม้ผู้นำฮ่องกง John Lee จะเผยนโยบายสนับสนุนประเทศ “Top Talent Pass” ดึงดูดผู้มีความสามารถจากทั่วโลกเข้ามาทำงาน หลังในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจำนวนพนักงานลดลงกว่า 140,000 คน โดยชาวต่างชาติที่เข้าร่วมโครงการจะสามารถซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย และสามารถยื่นขอเป็นผู้อยู่อาศัยถาวรของฮ่องกง เพื่อนำไปยื่นขอคืนภาษีต่อได้
  • การปราศรัยนโยบายสนับสนุนประเทศของ John Lee ข้างต้น ยังมีการพูดถึงเป้าหมายของฮ่องกงที่ต้องการจะดึงดูดธุรกิจจากต่างประเทศผ่านการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ HKEX (388) โดยอาจมีการร่วมมือกับ HKEX เพื่อแก้ไขกฎระเบียบการจดทะเบียน เพื่อให้บริษัทต่างชาติเข้ามาจดทะเบียนได้สะดวกมากขึ้น ซึ่งคาดว่าเป็นปัจจัยบวกต่อปริมาณ IPO ด้าน Bloomberg Cons. ให้ TP HKEX ที่ HKD380.25

ตลาดหุ้นเวียดนาม

  • วานนี้ดัชนี VN ปิดลบ 0.3% กดดันจาก VRE -2.3%, VHM -1.0%, GAS 1.7% หลังค่าเงินดองเทียบดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงติดต่อกันเป็นวันที่ 10 และนับเป็นการอ่อนค่าที่สุดนับตั้งแต่ปี 51 เนื่องจากธนาคารกลางเวียดนามได้ประกาศขยายกรอบการซื้อขายอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินดองจากเดิม 3% ไปอยู่ที่ 5% เมื่อวันที่ 18 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยอัตราดังกล่าวคืออัตราที่กำหนดไว้เพื่อเป็นการควบคุมให้นักลงทุนไม่สามารถซื้อขายเงินดองได้เกินกว่ากรอบที่ตั้งไว้ ซึ่งการขยายกรอบนี้อาจส่งสัญญาณว่าธนาคารกลางจะยอมให้ค่าเงินอ่อนค่าลงได้เพื่อพยายามรักษาเงินทุนสำรองระหว่างประเทศไว้ใช้ในอนาคต
  • FPT ที่มีสัดส่วนราว 7% ในดัชนี VN30 ที่เป็นดัชนีอ้างอิงของ DR E1VFVN3001 และ 15% ในดัชนี VN Diamond ที่เป็นดัชนีอ้างอิงของ DR FUEVFVND01 เผยงบ 3Q65 มีรายได้ VND11,149bn โต 28%YoY และกำไร VND1,756bn โต 28%YoY โดยรายได้ธุรกิจเทคโนโลยีโต 25%YoY สู่ VND6,490bn หนุนจากคำสั่งซื้อใหม่ทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น 49%YoY แม้จะมีความกังวลเศรษฐกิจถดถอย ขณะที่ธุรกิจโทรคมนาคมโต 20%YoY สู่ VND3,730bn หนุนจากการให้บริการเครือข่ายโทรทัศน์

Highlight

Intuitive Surgical (ISRG) +9% หลังเผยงบ 3Q65 รายได้โต 11%YoY สู่ $1.6bn และกำไรหดตัว 1.4%YoY สู่ $338mn แต่ดีกว่าตลาดคาด หลังจำนวนการผ่าตัดเพิ่มขึ้น 20%YoY ขณะที่จำนวนการติดตั้งหุ่นยนต์ผ่าตัด da Vinci อยู่ที่ 305 ตัว ดีกว่าตลาดคาดที่ 288 ตัว นอกจากนี้ บริษัทยังปรับคาดการณ์จำนวนผ่าตัดในปี 65 เพิ่มขึ้นสู่โต 17%YoY-18%YoY จาก 14%-16.5% ด้าน Bloomberg Cons. ให้ TP ที่ $250.29

Greed & FearBarometer: มาตรวัดความโลภและความกลัว

Overview:

Sentiment ตลาดฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า แม้ว่ายังคงอยู่ในโซน Fear แต่สัญญาณแข็งแกร่งขึ้นในเกือบทุกมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดัชนี Bull-to-Bear ที่ฟื้นตัวจากโซน Lower Bound ดัชนี Momentum Strength ที่กลับมาปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 สัปดาห์ และดัชนี Volume Index ที่ฟื้นตัวจากระดับใกล้ mid-point

มาตรวัดความโลภและความกลัว (Greed & Fear Barometer):

จิตวิทยาในตลาดหุ้นมักถูกผลักดันด้วยสองอารมณ์หลัก คือ ความโลภและความกลัว โดยเมื่อยิ่งมีอารมณ์โลภมาก (Extreme Greed) หรือ อารมณ์กลัวมาก (Extreme Fear) ขึ้นเท่าใด การตัดสินใจด้วยเหตุผลก็มักจะลดลงไปเท่านั้น เช่น เมื่อเกิด Extreme Greed นักลงทุนก็อาจจะไล่ซื้อหุ้นมากจนเกินไปโดยไม่สนใจราคา ในขณะที่เวลาเกิด Extreme Fear ก็จะขายหุ้นมากเกินไปด้วยความตื่นตระหนก ดังนั้นหากอารมณ์ตลาดยิ่งเอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งมากเท่าใด โอกาสที่ดัชนีจะสวิงกลับไปในทิศทางตรงกันข้ามก็มากขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุที่ภาวะ extreme นั้น มักทำให้เกิดการซื้อหรือขายมากเกินไป (Overbought/ Oversold)
BLS Greed & Fear Barometer คำนวณมาจากเครื่องชี้วัดดังต่อไปนี้ 1) Bull-to-Bear 2) Momentum Strength 3) Yield Spread (Bond vs Equity) 4) Market Volatility 5) Market Breadth และ 6) Volume Index

- Advertisement -