Our View? “ลุ้นปรับขึ้น”

คาดตลาดวันนี้ “มีโอกาสปรับขึ้น” ตามตลาดต่างประเทศส่วนใหญ่ โดยให้น้ำหนักต่อประเด็นการชะลอขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด หลังตัวเลขล่าสุดส่งสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว บ่งชี้การเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.75% ติดต่อกัน 3 ครั้ง (มิ.ย. ก.ค. และ ก.ย.) ที่ผ่านมา เพื่อสกัดเงินเฟ้ออาจได้ผล ทําให้ลดคาดการณ์ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในเดือนธ.ค. ลง ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่านักลงทุนให้น้ำหนักเพียง 53.5% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค. ลดลง จากเดิมที่เคยให้นํ้าหนักมากถึง 75%

อย่างไรก็ตาม แนะติดตามตัวเลข GDP – 3Q65 ของสหรัฐ (27/10/65) คาดขยายตัว 2.9% หลังหดตัวต่อเนื่อง 2 ไตรมาสที่ผ่านมา พร้อม (1) การประชุม ECB ในวันที่ 27/10/65 คาดพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% เพื่อสกัดเงินเฟ้อ และ (2) การประชุมเฟด 1-2 พ.ย. คาดขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% ซึ่งจะเป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกัน ใน การขึ้นอัตราดอกเบี้ย ครั้งละ 0.75% คาดส่งผลต่อเงินสหรัฐแข็งค่า กดดันเงินบาทอ่อนค่า และ Fund Flow อย่างไร ก็ตามเป็น Sentiment บวกต่อกลุ่มส่งออกและจับตาคณะกรรมการถาวรประจำกรมการเมือง (โปลิตบูโร) ชุดใหม่ ซึ่งจะร่วมกําหนดทิศทางการเมืองและเศรษฐกิจของจีนตลอด 5 ปีข้างหน้า โดยผู้นำเหล่านี้เป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิด กับปธน.สี จิ้นผิง และสนับสนุนการใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

ทางด้านราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI. ส่งมอบเดือน ธ.ค. ลดลง 0.6% ปิดที่ 84.58 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจีนน่าเข้าน้ำมันดิบ 9.79 ล้านบาร์เรล/วัน ในเดือนก.ย. ลดลง 2%YoY เนื่องจากโรงกลั่นน้ำมันลดการนำเข้า หลังความต้องการซบเซา ทั้งจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายโควิดเป็นศูนย์ และวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีน ขณะที่เรามองเศรษฐกิจโลกที่มีโอกาสเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปีหน้า จากการเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่างๆ คาดยังเป็นปัจจัยกดดันภาพรวมอุปสงค์น้ำมันได้อยู่ และเป็นปัจจัยกดดันทิศทางราคาน้ำมัน-หุ้นในกลุ่มพลังงานอ่อนตัวลงปรับฐานใหม่ได้ต่อในภาพระยะกลาง

ในส่วนของปัจจัยในประเทศ คาดตลาดยังคงให้ความสนใจต่อผลประกอบการ 3Q’65 หลังผลการดาเนินงานกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ออกมาต่ำกว่าตลาดคาดเล็กน้อย ขณะที่คาดการณ์ EPS ของตลาดหุ้นไทยทั้งปี 65 โดย Bloomberg Consensus คาดอยู่ที่ระดับ 105.5 บาท/หุ้น เร่งตัวขึ้นจากช่วงเดือนก่อนที่ 104.0+/- สะท้อนตลาดเริ่มปรับประมาณการผลประกอบการ 3Q/65 อาจออกมาดีกว่าคาดการณ์เดิม มองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อทิศทางตลาดหุ้นไทยได้บ้าง

อีกทั้งเรายังมีมุมมองมองเชิงบวกบวกต่อหุ้นกลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง (HMPRO, GLOBAL, DOHOME และ TASCO) และหุ้นกลุ่มค้าปลีก (CPALL, MAKRO และ BIC) จากแนวโน้มการออกจบเยียวยาน้ำท่วมหลังสถานการณ์ดังกล่าวเริ่มผ่อนคลายลง และแนวโน้มการออกมาตรการช็อปดีมีคืนของรัฐบาลในช่วงปลายปี คาดจะหนุนทิศทางราคาฟื้นตัวกลับขึ้นได้ต่อ รวมถึงหุ้นกลุ่มสายการบิน (BA/AAV) ที่ได้รับ Sentiment บวกจากการท่องเที่ยวที่เข้าสู่ช่วง High Season คาดทั้งปี′65 จํานวน นทท. ต่างชาติ เป็นไปตามเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน

อย่างไรก็ตาม แนะนำติดตามประเด็นการควบรวมระหว่าง TRUE-DTAC ต่อเนื่อง โดยล่าสุดสภาองค์กรผู้บริโภคเตรียมฟ้องเพื่อขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนที่ กสทช. จะอนุญาตในการควบรวมดังกล่าว คาดจะเป็นปัจจัยส่งผลให้ทิศทางราคาหุ้นในกลุ่ม ICT (TRUE, DTAC และ ADVANC) ผันผวนได้บ้าง

ธีมการลงทุน “Selective Play”

หุ้นแนะนำวันนี้ “STEC” ประเมินราคาเป้าหมายปี’66 ที่ 15.30 บาท โดยคาดหลังสถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น ผลการดำเนินงานของ STEC ในปี’66 เริ่มกลับเข้าระดับปกติ คาดรายได้งานก่อสร้างอยู่ที่ 33,787 ล้านบาท เติบโตต่อเนื่อง 11% จากประมาณการปี’65 และคาด Gross Profit Margin เฉลี่ย 5% (เป้าหมายของ STEC เฉลี่ย 5 7%) หลังงานที่มี Margin ต่ำจบลง และคาดกำไรสุทธิ (จากการดำเนินงานปกติ) 1,008 ล้านบาท เพิ่มขึ้นโดดเด่นจากปี’65 ที่คาดมีรายได้งานก่อสร้างและกำไรสุทธิ 30,438 ล้านบาท และ 658 ล้านบาท ตามลำดับ

- Advertisement -