บล.บัวหลวง:

Total Access Communication (DTAC TB / DTAC.BK)

DTAC – ต่ำกว่าคาด; คาดกำไรไตรมาส 4/65 เพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ

แย่กว่าที่เราคาดก่อนหน้า

DTAC รายงานกําไรสุทธิไตรมาส 3/65 ที่ 488 ล้านบาท ลดลง 41% YoY และ 51% QoQ หากไม่รวมรายการพิเศษ 5 รายการ ได้แก่ ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 8 ล้านบาท ขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยง 13 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการ 160 ล้านบาท ขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ 48 ล้านบาท และเงินค่าประกันที่รับรู้บางส่วน 170 ล้านบาท กําไรหลักในไตรมาสนี้อยู่ที่ 547 ล้านบาท ลดลง 21% YoY และทรงตัว QoQ กำไรสุทธิ และกำไรหลักต่ำกว่าที่เราคาดก่อนหน้า คิดเป็น 20% และ 27% ตามลำดับ เนื่องจากรายได้บริการที่ต่ำกว่าคาดและต้นทุนบริการที่สูงกว่าคาด ทั้งนี้รายได้บริการ (ไม่รวมไอซี) ต่ำกว่าที่เราคาด 1.2% ในขณะที่ต้นทุนบริการสูงกว่าที่เราคาด 3% เนื่องจากค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่สูงกว่าที่เราคาดก่อนหน้า

ประเด็นสําคัญของผลประกอบการ

กําไรหลักที่ลดลง YoY เป็นผลมาจากรายได้บริการที่ลดลง (การแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมหภาคที่ช้ากว่าคาด) ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจําหน่าย รวมถึงภาระหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น กลบค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับโครงข่าย ค่าใช้จ่ายในการบริหารงานทั่วไปและค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่ลดลง รายได้บริการ (ที่ไม่รวมไอซี) ในไตรมาส 3/65 ลดลง 0.3% YoY (จากการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นและรายได้โพสต์เพดที่ลดลง) แต่ทรงตัว QoQ (รายได้พรีเพดที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้ากลุ่มนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าวที่กลับมาฟื้นตัว) โดยรายได้โพสต์เพดที่ลดลงกลบรายได้พรีเพดที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้บริการโดยภาพรวมออกมาทรงตัว QoQ จํานวนผู้ใช้บริการรายใหม่สุทธิในไตรมาส 3/65 ทำสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 1/56 เป็นต้นมาที่ 7.75 แสนราย เพิ่มขึ้น 88% QoQ หนุนจากลูกค้ากลุ่มพรีเพด รายได้เฉลี่ยต่อรายต่อเดือนในไตรมาสนี้อยู่ที่ 222 บาท ลดลง 8% YoY และ 4% QoQ โครงการแนวคิดเรื่องการลดต้นทุนยังคงต่อเนื่องไปในไตรมาส 3/65 ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปกติโดยรวม (ต้นทุนบริการ และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร) ในไตรมาสนี้ทรงตัว YoY และเพิ่มขึ้น 0.7% QoQ ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับโครงข่าย ค่าใช้จ่ายในการบริหารงานทั่วไป และค่าใช้จ่ายด้านการตลาดในไตรมาสนี้ลดลง 7% YoY ลดลง 7% YoY และลดลง 15% YoY ตามลำดับ

แนวโน้ม

สําหรับทั้งปี 2565 ผู้บริหารยังคงเป้า 1) รายได้บริการ (ไม่รวมไอซี) ที่ “ทรงตัวถึงลดลง 1-3% YoY” (ซึ่งมีแนวโน้มที่จะยึดกับกรอบล่างซึ่งได้แก่ ลดลง 1-3% YoY) 2) EBITDA (ที่ไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการ) ที่ “ทรงตัวถึงเพิ่มขึ้น 1-3% YoY” (ซึ่งมีแนวโน้มที่จะยืดกับกรอบล่างซึ่งได้แก่ ทรงตัว) และ 3) งบลงทุนที่ 1.1-1.3 หมื่นล้านบาท CFO คาดมูลค่าผลประโยชน์ร่วมที่จะเกิดขึ้นจากการควบรวมกิจการ TRUE-DTAC อย่างมีนัยสำคัญ (เทียบกับดีลของกลุ่ม Telenor ในประเทศมาเลเซีย) เราใช้สมมติฐานในกรณีปกติสำหรับมูลค่า DCF ของผลประโยชน์ร่วมจากการควบรวมกิจการ TRUE-DTAC ที่ 3.24 หมื่นล้านบาท (หรือคิดเป็น 2-3 เท่าสูงกว่ามูลค่าผลประโยชน์ร่วมของดีล Telenor ในประเทศมาเลเซียซึ่งอยู่ที่ 2 พันล้านริงกิต) ผู้บริหารกล่าวว่าจะใช้เวลา 2-3 เดือนสำหรับขั้นตอนลำดับถัดไป ซึ่งได้แก่ การทำคำเสนอซื้อโดยสมัครใจ การซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นที่คัดค้าน และการประชุมผู้ถือหุ้นร่วมของทั้งสองบริษัท ภาวะการแข่งขันโดยภาพรวมใน เดือนต.ค. ยังคงรุนแรงคล้ายกับในช่วงไตรมาส 2/65-3/65 เนื่องจากการทำตลาดเชิงรุกมากขึ้น โดยให้ส่วนลดเพิ่มขึ้นสำหรับกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยว ทั้งนี้เราคาดกำไรหลักที่ 664 ล้านบาทในไตรมาส 4/65 เพิ่มขึ้น 14% YoY และ 21% QoQ (หนุนมาจากรายได้บริการที่คาดว่าจะทยอยปรับตัวดีขึ้น)

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป

เนื่องจากกำไรไตรมาส 3/65 ที่ออกมาต่ำกว่าคาด เราจึงทำการปรับลดประมาณการกำไรสุทธิและกำไรหลัก ปี 2565 ลงอีก 18% และ 14% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับโครงข่ายที่เพิ่มขึ้น (จากต้นทุน พลังงานที่เพิ่มขึ้น) ส่งผลให้ราคาเป้าหมายซึ่งประเมินโดยวิธี DCF ณ สิ้นปี 2566 ของเราลดลง อีก 2% (เหลือ 61.50 บาท)

คําแนะนํา

เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” หุ้น DTAC เนื่องจากความคาดหวังสำหรับดีลควบรวมกิจการ TRUE – DTAC ที่จะเดินหน้าต่อทันทีหลังจากที่กสทช. ได้ทำการอนุมัติดีลนี้ไปเมื่อวันที่ 20 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยคาดว่าการจัดตั้งบริษัทใหม่ (MergeCo) มีแนวโน้มเกิดขึ้นภายในสิ้นปี 2565 หรือในช่วงไตรมาส 1/66

 

- Advertisement -