บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Action BUY

TP upside (downside) +24.0%

Close Oct 31, 2022 Price (THB) 18.20

12M Target (THB) 22.50

Previous Target (THB) 23.60

What’s new?

  • คาด 3Q65 มีกำไรปกติที่ 65 ล้านบาท -14% QoQ แต่พลิกจากขาดทุนปกติปีก่อนที่ 389 ล้านบาท จากฐานต่ำปีก่อนที่ปิดโรงหนัง
  • แนวโน้ม 4Q65 เราคาดจะเติบโต QoQ และ YoY เนื่องจากภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่รอเข้าฉายหลายเรื่อง
  • เราปรับลดกำไรปี 65 และ 66 ลงจากเดิม 74% และ 16%

Our view

  • คงคำแนะนำ “ซื้อ” เรามองว่าผลประกอบการอยู่ในช่วง turnaround คาดหวังผลประกอบการเติบโตโดดเด่นต่อเนื่องในปี 2565-2566 จากฐานที่ต่ำ ซึ่งคาดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 จะบรรเทาความรุนแรงลง เราปรับลดมูลค่าพื้นฐานเป็น 22.50 บาท จากเดิมที่ 23.60 บาท สะท้อนการปรับลดประมาณการกำไร

MAJOR CINEPLEX GROUP คาด 3Q65 ฟื้น YoY จากฐานต่ำ…มองปีหน้าเติบโตเด่น

คาดกำไรปกติแผ่ว QoQ แต่ยังฟื้นเด่น YoY จากฐานต่ำ

เราคาดกำไรสุทธิใน 3Q65 ที่ 23 ล้านบาท -82%QoQ, -99% YoY แต่หากไม่รวมรายการพิเศษ 3 รายการที่จะบันทึกในไตรมาสนี้ ได้แก่ ขาดทุนจากการประเมินมูลค่าทรัพย์สินของ MJLF, กำไรจากการขายหุ้นไทยทิคเก็ต เมเจอร์ (TTM) และเงินชดเชยค่าเสียหายน้ำท่วม และของงวด 3Q64 ที่บริษัทมีการบันทึกกำไรจากการขายหุ้น SF กว่า 2.2 พันล้านบาท MAJOR จะมีกำไรปกติที่ 65 ล้านบาท -14%QoQ แต่พลิกจากขาดทุนปกติปีก่อนที่ 389 ล้านบาท เทียบ QoQ ชะลอตัวตามปัจจัยฤดูกาล ซึ่งเป็น Low season และผลกระทบจากน้ำท่วมในบางสาขา ที่กระทบต่อรายได้จากธุรกิจภาพยนตร์ ลดลง 8%QoQ ขณะที่กำไรเติบโต YoY หลักๆ มาจากรายได้ที่ฟื้นตัว +932%YoY เป็น 1,689 ล้านบาท จากฐานต่ำ เนื่องจากปีก่อนโดน Lockdown โรงภาพยนต์ ส่วนใหญ่ยังปิด ขณะที่ปีนี้มีหนังฟอร์มใหญ่ ทำเงินดีหลายเรื่อง อาทิ บุพเพสันนิวาส 2 Thor และ One Piece เป็นต้น ส่วนรายได้จากการขายอาหาร ป๊อบคอร์น เครื่องดื่ม และโบว์ลิ่งปรับเพิ่มขึ้นตามธุรกิจภาพยนตร์

แนวโน้มกำไรฟื้นตัว แต่ช้ากว่าที่คาด….ปรับลดกำไรปี 65-66 ลง

แนวโน้ม 4Q65 เราคาดจะเติบโต QoQ และ YoY เนื่องจากภาพยนตร์ฟอร์มใหญ่ที่รอเข้าฉายหลายเรื่อง อาทิ Black Adam, Black Panther2 – Wakanda forever, Avatar 2 Shazam2 และภาพยนตร์ไทยที่เข้าฉายอีก รายเรื่อง อาทิ OMG รักจังวะผิดจังหวะ ของ GTH ธุรกิจอื่นๆ เช่น ขายอาหาร ป๊อปคอน รวมถึงโบว์ลิ่ง คาดว่าจะ เติบโตตามไปด้วย ส่วนธุรกิจโฆษณาจะเริ่มฟื้น ซึ่งคาดว่าบริษัทจะเริ่มลดการให้ส่วนลดกับลูกค้า อย่างไรก็ตาม เรามองว่าผลประกอบการฟื้นตัวช้ากว่าที่เราคาดไว้ ทำให้เรามีการปรับลดประมาณการกำไรปี 2565 ลดลงจากเดิม 74% เหลือ 244 ล้านบาท จากการปรับลดสมมติฐานรายได้ลง 24% และปรับลดอัตรากำไรขั้นต้นจากเดิม 30.3% เหลือ 20.8% และปี 2566 เราปรับลดประมาณการกำไร 16% เป็น 907 ล้านบาท (+272%YoY) จากการปรับลดอัตรากำไรขั้นต้นจากเดิม 30.5% เหลือ 27.6%

การขยายธุรกิจใหม่ๆ คาดเริ่มผลิดอกออกผล

บริษัทมีการขยายธุรกิจใหม่ๆ ต่อเนื่อง โดยจับมือกับพันธมิตทางธุรกิจ เราคาดว่าจะเริ่มเห็น Synergy อาทิ การเข้าไปถือหุ้นใน TKN และ WORK โดยมีการร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัทเถ้าแก่น้อย (TKN) คาดจะช่วยเสริมความแข่งแกร่งช่องทางขายสินค้า และช่วยลดต้นทุนในการผลิตสินค้าลง ส่วนทาง WORK มีดีลทางธุรกิจในการสร้างภาพยนตร์ราว 3-4 เรื่องต่อปี และในปีนี้ก็มีจับมือกับทาง BEC ในการสร้างภาพยนตร์ร่วมกัน เรื่อง บัวผันฟันยับ ที่จะฉายในเดือน พ.ย.นี้ นอกจากนี้อยู่ระหว่างศึกษาร่วมทุนกับพันธมิตรที่จีนในการสร้างภาพยนต์เข้าฉายในโรงภาพยนต์ที่ประเทศจีนซึ่งถือเป็นตลาดใหญ่ โดยในประเทศจีนนั้นมีจอโรงภาพยนตร์กว่า 8 หมื่นจอ หากสำเร็จจะถือเป็นการเปิดตลาดใหม่ ซึ่งในปี 2566 ประเทศจีนจะกลับมาเปิดประเทศเต็มตัวเรามองว่าจะมีความคืบหน้ามากขึ้น

คงคําแนะนํา “ซื้อ”

เรามองว่าผลประกอบการอยู่ในช่วง turnaround คาดหวังผลประกอบการเติบโตโดดเด่นต่อเนื่องในปี 2565-2566 จากฐานที่ต่ำ ซึ่งคาดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 จะบรรเทาความรุนแรงลงเรื่อยๆ การนำเงินที่ได้จากการขายหุ้น SF ไปต่อยอดธุรกิจใหม่จะชดเชยส่วนแบ่งเงินลงทุนที่หายไป รวมถึงดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงจากการนำเงินไปชำระหนี้เงินกู้ เราปรับลดมูลค่าพื้นฐานเป็น 22.50 บาท จากเดิมที่ 23.60 บาท สะท้อนการปรับลดประมาณการกำไร และปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานเป็นปี 2566 โดยอิงวิธี DCF สมมติฐาน WACC ที่ 7.4%

- Advertisement -