บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):

CK Power (CKP.BK/CKP TB)*

ผลประกอบการ 3Q65F : กำไรเต็มคาราเบล..!

Event

ผลประกอบการ 3Q65, ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2565, และแนวโน้ม

Impact

ผลประกอบการ 3Q65F – ดีกว่าประมาณการของเราและตลาด 15% / 12%

กำไรสุทธิใน 3Q65 อยู่ที่ 1.46 พันล้านบาท (+69% QoQ, +18% YoY) และกำไรจากธุรกิจหลักทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 1.44 พันล้านบาท (+69% QoQ, +18% YoY) ดีกว่าประมาณการทุกสำนัก เนื่องจาก ASP ของโครงการน้ำดื่ม 2 สูงขึ้น ทั้งนี้ กำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมากทั้ง QoQ และ YoY เป็นเพราะเข้าสู่ช่วง high season ของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ, ภาวะ La Niña, และได้รับผลจากพายุโซนร้อน Mulan โดยโครงการ NN2 ส่งกระแสไฟฟ้าเข้าระบบ 564GWh (+44% QoQ, flat YoY) ในขณะที่การผลิตไฟฟ้าที่โครงการไซยะบุรีก็เพิ่มขึ้นเป็น 2,678GWh (+21% QoQ, +10% YoY) เนื่องจากกระแสน้ำเข้าเขื่อนเพิ่มขึ้น YoY จากอ่างเก็บน้ำ Xiaowan และ Nuozhadu ของจีน แต่ทั้งนี้ผลการดำเนินงานของ BIC ถูกฉุดจากราคาก๊าซที่พุ่งสูงขึ้น (+32% QoQ) เช่นเดียวกับ SPPs อื่นๆ ในอุตสาหกรรม แต่ยังดีที่ได้อานิสงส์จากค่า Ft ที่สูงขึ้น ส่วน GPM โดยรวมเพิ่มขึ้นเป็น 20.4% ใน 3Q65 (จาก 16.4% ใน 2Q65 และ 28.3% ใน 3Q64)

คาดว่าสภาพอากาศจะไม่เอื้ออำนวย (อุ่นขึ้น) ในปี 2566

จากการพยากรณ์โดย ENSO ในช่วงกลางเดือนตุลาคม 2565 ชี้ว่ามีความน่าจะเป็นสูงที่จะเกิดปรากฏการณ์ El Niño (สภาพอากาศอุ่นขึ้น) ในปี 2566 และน่าจะรุนแรงกว่าข้อมูลในปี 2565 ซึ่งหมายความว่าสถานการณ์น่าจะไม่เป็นผลดีกับ CKP ต่างจากตัวเลขที่ออกมาน่าประทับใจในปี 2565

ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2565F และแนวโน้ม 4Q65-2566F

เราปรับเพิ่มประมาณการ EPS ปี 2565F ขึ้นอีก 7% เพื่อสะท้อนผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งขึ้นของโครงการน้ำงึม 2 และไซยะบุรี เราเชื่อว่ากำไรของ CKP ผ่านช่วง high season ไปแล้ว และกำไรใน 4Q65F จะลดลงอย่างมาก QoQ เพราะเป็นช่วง low season เราคาดว่าโครงการ NN2 น่าจะประกาศตัวเลขการผลิตไฟฟ้าแบบอนุรักษ์นิยมจากระดับน้ำในเขื่อนที่ลดลง YoY ทั้งนี้ CKP จะจัดประชุมนักวิเคราะห์ 3Q65 ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2565 และคาดว่าจะเซ็นสัญญา PPA โครงการหลวงพระบาง (LPCL SCOD: 1 มกราคม 2573, 1.50 บาท/หุ้น) ซึ่งบริษัทไม่มีโครงการอื่นใน pipeline อีกในขณะนี้ สำหรับในปี 2566 เราคาดว่ากำไรสุทธิของ CKP จะลดลง 8% YoY เนื่องจากภาวะ La Nina คลายความรุนแรงลง และภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น แม้จะมีปัจจัยบวกจากราคาก๊าซของ SPP ที่ลดลงของ BIC

Valuation & Action

เรายังคงคำแนะนำ ถือ โดยประเมินราคาเป้าหมาย DCF ปี 2566 ที่ 5.60 บาท เราคาดว่าผลประกอบการรายไตรมาสกำลังขยับผ่านช่วง peak และบริษัทจะได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ย เรามองว่าแนวโน้มในอีก 3-5 ปีข้างหน้ายังคงดูไม่น่าตื่นเต้น อย่างไรก็ตาม เราแนะนำว่านักเก็งกำไรอาจจะเข้าซื้อหุ้นในช่วงไตรมาสที่สี่ และไตรมาสที่หนึ่งซึ่งตามปกติแล้วจะเป็นช่วงที่ราคาหุ้นต่ำสุดในรอบปี

Risks

มีการปิดโรงไฟฟ้านอกแผน, ปัญหา cost overruns, ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและอัตราดอกเบี้ย

- Advertisement -