บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง: 

Thailand Healthcare: แนวโน้มปี 2566 กลับสู่ภาวะปกติหลังโควิด

คงมุมมอง “เป็นกลาง” หุ้นเด่น CHG และ MEGA

เรายังคงมุมมองเป็นกลางต่อหุ้นกลุ่มการแพทย์ของไทย โดยมองว่ารายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิดจะหายไปอย่างมากในปี 2566 ทำให้ BCH และ CHG มีกำไรลดลง 38% และ 53% ตามลำดับ นอกจากนี้ เรายังประเมินกำไรของ BH จะลดลง 14% เนื่องจากการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (67% ของรายได้) จะเริ่มชะลอตัวหลังอุปสงค์คงค้างซาลงใน 2H66 เราคาดว่า BDMS จะมีกำไรเติบโต 0.8% จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ แต่ต่างกับ BH คือ ยังไม่ถึงระดับก่อนโควิดในปี 62 เรายังคาดการณ์กำไรของ MEGA เติบโต 2% จากการเติบโตของธุรกิจแบรนด์ ขณะที่เลือก CHG และ MEGA เป็นหุ้นเด่น เราชอบ CHG เนื่องจากรับอานิสงส์จากระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่กำลังเติบโตและ MEGA จากแนวโน้มที่ดี ซึ่งได้แรงหนุนจากการบริโภคด้านการดูแลสุขภาพที่เพิ่มขึ้นในอาเซียน (ประมาณ 80% ของรายได้)

อุปสงค์การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์อาจลดลงในครึ่งหลังของปี 2566

จากการอัพเดทกับผู้บริหาร BH รายได้ของ BH ได้แรงหนุนจากอุปสงค์ในการรักษาตัวของผู้ป่วยต่างชาติใน 9 เดือนแรกของปี 2565 และความต้องการดังกล่าวอาจลดลงเมื่อสิ้นสุด 1H66 เราเห็นด้วยกับมุมมองของผู้บริหารและคาดว่าจะกลายเป็นปัจจัยลบต่อหุ้น BH (สัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ 67%) ด้วยเหตุนี้ เราจึงแนะนำ “ขาย” BH และ “ถือ” BDMS โดยหุ้น BH ซื้อขายที่ระดับ PE ปี 2566 ที่ สูง 43.1 เท่า ขณะที่ BDMS ซื้อขายที่สมเหตุสมผลกว่าที่ 39.7 เท่า

EEC ปัจจัยหนุนการเติบโตในระยะยาว

เราประเมินว่าโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของไทยจะเป็นปัจจัยหนุนในระยะยาว เนื่องจากมีประชากรหนาแน่น และมีรายได้สูง เอื้อต่อผู้ประกอบการโรงพยาบาลที่ต้องการผู้ป่วยจํานวนมาก ครอบคลุมค่าใช้จ่ายคงที่ที่สูง โดย CHG มีโรงพยาบาลทั้งหมด 9 แห่งในพื้นที่ EEC ขณะที่ BDMS มีแผนจะเพิ่ม 3 แห่ง (จากที่มีอยู่ 56 แห่ง) ในช่วงปี 66-69 และ BCH อาจเพิ่มโรงพยาบาลอีก 2 แห่งในอีก 2-3 ปีข้างหน้า (แผนยังไม่เป็นรูปธรรม) นี่คือ เหตุผลที่เราเลือก CHG เป็น Top Pick ในบรรดาผู้ประกอบการโรงพยาบาล เนื่องจาก CHG จะได้อานิสงส์จากการมี รพ. หลายแห่งใน EEC

ความเสี่ยงสำคัญคือการฟื้นตัวที่อาจช้ากว่าคาด

เราใช้วิธี DCF และอิงปี 2566 ในการประเมินราคาหุ้น เราชอบหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล จากการเติบโตที่ดีในระยะยาว เนื่องจากได้รับอานิสงส์หลักจากสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ในอีก 12 เดือนข้างหน้า เรายังคงมุมมองเป็นกลางต่อกลุ่มนี้ เนื่องจากราคาหุ้นสะท้อนปัจจัยบวกไปแล้ว ความเสี่ยงที่สำคัญคือการฟื้นตัวของรายได้ปกติที่ไม่ใช่รายได้จากโควิดซึ่งอาจช้ากว่าที่คาดไว้ เช่น โควิดระบาดเพิ่มขึ้นหรือความท้าทายทางเศรษฐกิจ

1. สถานการณ์โควิดคลี่คลายทำให้รายได้จากโควิดลดลง

เราคาดว่าสถานการณ์การระบาดของ Covid-19 จะกลับสู่ภาวะปกติในปี 2566 ดังนั้น รายได้จาก Covid ซึ่ง รพ.ส่วนใหญ่มีสัดส่วนรายได้ 3-35% ในปี 65 อาจหายไป เราจึงคาดว่าทั้ง BCH และ CHG จะมีกำไรหลักลดลงมากที่สุดที่ 38-53% จากที่ทั้งสองแห่งมีรายได้จากโควิดสูงที่สุดในปี 65 คือ 31% และ 35% ตามลำดับ

สำหรับ BH เราคาดว่ากำไรจะลดลง 14.1% ในปี 66 เนื่องจากฐานที่สูงในปี 65 ซึ่งเกิดจากอุปสงค์คงค้างในผู้ป่วยต่างชาติที่ส่งให้รายได้ในไตรมาส 3/65 สูงกว่าระดับก่อนโควิดถึง 24% สะท้อนภาพอุปสงค์คงค้างที่สูงมาก ทั้งนี้ ผู้บริหารของ BH คาดว่าอุปสงค์ดังกล่าวจะลดลงภายในสิ้นไตรมาส 2/65 เราคาดว่ารายได้ของ BH จะลดลง 8% ในปี 66 ทำให้กำไรลดลง 14.2% ซึ่งต่างจาก BCH และ CHG ที่ไม่ได้เกิดจากการลดลงของรายได้จากโควิด เนื่องจาก BH ไม่ได้เน้นที่ผู้ป่วยโควิด โดยในปี 65 รายได้จากโควิดของ BH อยู่ที่ประมาณ 3% เท่านั้น

BDMS เป็นโรงพยาบาลเดียวที่คาดจะมีกำไรหลักเติบโต 0.8% ในปี 2566 เนื่องจากรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติในไตรมาส 3/65 ยังคงต่ำกว่าระดับก่อนเกิดโควิด 10% ขณะที่เราคาดการณ์การกลับมาอย่างเต็มที่ของผู้ป่วยต่างชาติ โดยจะมีสัดส่วนรายได้ถึง 30% ในปี 66 (ระดับเดียวกับปี 62) จาก 24% ในปี 65 เราคาดว่ารายได้รวมของ BDMS จะเพิ่มขึ้น 8% ในปี 66

นอกจากนี้ BDMS มีสัดส่วนรายได้จากโควิดเพียง 11% ในปี 65 และด้วยเหตุนี้ รายได้จากโควิดที่หายไปในปี 66 จึงไม่ส่งผลกระทบมากเท่ากับ BCH (31%) และ CHG (35%)

สำหรับ MEGA เราคาดว่ารายได้จะเติบโต 4.7% ในปี 66 ซึ่งน้อยกว่าในปี 65 ที่เติบโต 9.3% เนื่องจาก 1) ฐานการบริโภควิตามินที่สูงในปี 65 และ 2) ความท้าทายทางการเมืองในเมียนมาร์ ซึ่งอาจเห็นยอดขายของธุรกิจจัดจำหน่ายทรงตัวในปี 66) นี่คือเหตุผลที่เราคาดว่า MEGA จะมีกำไรเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยที่ 2% ในปี 66

หุ้นเด่นของเราคือ CHG (ราคาเป้าหมาย 4.40 บาท) และ MEGA (ราคาเป้าหมาย 66.50 บาท) โดย CHG มีการเติบโตที่ดีในระยะยาวจากระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งมีโรงพยาบาลตั้งอยู่ทั้งหมด และ CHG เป็นผู้นำที่ชัดเจน หุ้น CHG ซื้อขายที่ P/E ปี 66 ที่ 29.8 เท่า เทียบกับมูลค่าระยะยาวที่ P/E 30-35 เท่า สำหรับ MEGA เราชอบการเติบโตที่ดีในระยะยาวที่มีกำไรเพิ่มเป็นสองเท่าทุกๆ หกปี ซึ่งได้แรงหนุนอุปสงค์ที่แข็งแกร่งจากเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วในอาเซียน และแบรนด์ที่แข็งแกร่งของบริษัท หุ้น MEGA ซื้อขายที่ P/E ปี 66 ที่น่าสนใจ 16.8 เท่า ซึ่งถูกที่สุดในกลุ่มดูแลสุขภาพของไทย เราเชื่อว่าการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์อาจถึงจุดสูงสุดในไตรมาส 2/65 และไตรมาส 3/65 ไปแล้ว โดยที่ BH มีรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติมากกว่าช่วงก่อนโควิดปี 2562 ที่ 10% และ 24% ตามลำดับ สำหรับ BDMS รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ประมาณ 10% ในไตรมาส 2/65 และ 3/65

2. การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์อาจถึงจุดสูงสุดแล้ว

เราเชื่อว่าการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์อาจถึงจุดสูงสุดในไตรมาส 2/65 และไตรมาส 3/65 ไปแล้ว โดยที่ BH มีรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติมากกว่าช่วงก่อนโควิดปี 2562 ที่ 10% และ 24% ตามลำดับ สำหรับ BDMS รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติยังคงต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 ประมาณ 10% ในไตรมาส 2/65 และ 3/65

จากการประชุมนักวิเคราะห์ครั้งล่าสุดของ BH ผบห. ประเมินว่าอุปสงค์คงค้างของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์หลังโควิดน่าจะซาลงภายในสิ้นครึ่งแรกของปี 66 ซึ่งหมายความว่ารายได้จะกลับมาเป็นปกติภายในครึ่งหลังของปี 66 เราจึงเลือก รพ.ที่มุ่งเน้นบริการผู้ป่วยประกันสังคม (CHG และ BCH) มากกว่า รพ. ที่เน้นการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (BH และ BDMS)

BCH และ CHG มีสัดส่วนรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ประมาณ 12% และ 4% ในปี 2565 และเราเชื่อว่าจะไม่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตในปี 2566

3. การบริโภควิตามินอาจซบเซาหลังโควิด

สำหรับ MEGA เราคาดว่าการเติบโตของยอดขายธุรกิจแบรนด์จะกลับมาเป็นปกติที่ 9% ในปี 66 หลังจากเติบโตอย่างแข็งแกร่งที่ 16% ในปี 65 เนื่องจากฐานการบริโภควิตามินที่สูงท่ามกลางโควิด ยอดขายแบรนด์ประมาณ 40% มาจากยาที่ไม่ได้รับผลกระทบเชิงบวกจากโควิด และจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

สำหรับธุรกิจการจัดจำหน่าย เราคาดว่ารายได้จะทรงตัว YoY ในปี 66 เนื่องจากความท้าทายทางการเมืองในเมียนมาร์ ซึ่งเป็นตลาดหลักที่สร้างรายได้ประมาณ 70% ของรายได้จากธุรกิจการจัดจำหน่ายทั้งหมด อย่างไรก็ตาม อีก 2 ตลาด คือ เวียดนามและกัมพูชาที่มีรายได้รวมกันประมาณ 30% ยังสามารถเติบโตได้ เราประเมินว่าความท้าทายทางการเมืองในเมียนมาร์เป็นความเสี่ยงที่สำคัญสำหรับ MEGA

4. EEC ยังคงเติบโตและเป็นปัจจัยขับเคลื่อนระยะยาว

เรามองว่าระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตในระยะยาว เนื่องจากรัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมให้เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมหลักของประเทศ เราคาดว่าประเด็นนี้น่าจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อรพ.ที่มุ่งเน้นที่ผู้ป่วยประกันสังคม เนื่องจากการจ้างงานน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมากในพื้นที่นี้

นอกจากนี้ สองจังหวัดในพื้นที่ EEC ยังเป็นจังหวัดที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย โดยจังหวัดระยองครองตำแหน่งที่หนึ่งในปี 63 และชลบุรีอยู่อันดับที่ 4 ด้วยรายได้ที่สูงและความหนาแน่นของประชากร เราคาดว่า EEC จะเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโตของ ผู้ประกอบการโรงพยาบาลในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

ด้วยเหตุนี้ CHG BDMS และ BCH จึงมีแผนขยายธุรกิจเข้าสู่พื้นที่ใน EEC ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า สำหรับ CHG การขยายธุรกิจส่วนใหญ่เป็นการเพิ่มเตียงในโรงพยาบาลที่มีอยู่ ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายและค่าเสื่อมราคาเพียงเล็กน้อยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ในฐานะที่เป็นเจ้าของพื้นที่ส่วนใหญ่ใน EEC ซึ่งมีโรงพยาบาลทั้งหมด 9 แห่งใน EEC เราเชื่อว่า CHG น่าจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงใน EEC

ขณะเดียวกัน BDMS มีแผนจะเพิ่มโรงพยาบาลอีก 3 แห่งใน EEC ตั้งแต่ปี 66-69 เป็น รพ. ขนาด 300 เตียง นอกจากนี้ BCH อาจเพิ่มโรงพยาบาลอีกแห่งละ 2 แห่งในระยองและพัทยา ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แม้ว่าแผนดังกล่าวจะยังไม่เป็นรูปธรรมก็ตาม ทั้งนี้ จากจำนวนประชากรที่หนาแน่นสูงในพื้นที่นี้ โรงพยาบาลใหม่ของ BDMS สองแห่งใน EEC จะมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ป่วยประกันสังคม ในขณะที่ BCH น่าจะเป็นเพียงแห่งเดียวในจังหวัดระยอง

5. กลุ่มประกันสังคมยังน่าสนใจ

หลังโควิดคลี่คลาย เราประเมินว่าสำนักงานประกันสังคม (สปส.) ยังอาจถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับโควิดที่ต้องจ่ายในช่วงโควิดระบาดอยู่ ดังนั้น เราจึงคาดว่าทาง สปส. จะยังไม่ขึ้นค่ารักษาในผู้ป่วยประกันสังคม (ทั้งสำหรับการชำระเงินแบบคงที่และแบบผันแปร) ซึ่งจะครบกำหนดในปี 66

อย่างไรก็ตาม เราคิดว่ารายได้ประกันสังคมของทั้ง BCH และ CHG จะเพิ่มขึ้นในปี 2566 โดยได้แรงหนุนจาก 1) จำนวนสมาชิกประกันสังคมเพิ่มขึ้น 5% เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และ 2) รายได้ต่อสมาชิกที่สูงขึ้นเนื่องจากผู้ป่วยมีแนวโน้มที่จะกลับมารับการรักษาโรคที่มีความซับซ้อนสูงหลังโควิดคลี่คลาย

แม้จะมีแรงกดดันระยะสั้นจากการจ่ายเงินของ SSO ซึ่งอาจส่งผลลบต่อทั้ง BCH และ CHG แต่เรามองว่า รพ.ที่มุ่งเน้นรักษาผู้ป่วยประกันสังคมยังคงมีความน่าสนใจ จากผู้ป่วย ปกส.ที่มารับบริการและการชำระเงินคงที่ 1,640 บาทต่อสมาชิก ปกส.ต่อปี ซึ่งสะท้อนว่ารายได้จากผู้ป่วย ปกส. สามารถครอบคลุมค่าใช้จ่ายคงที่ที่ค่อนข้างสูงของผู้ประกอบการโรงพยาบาลได้ แล้ว รพ.เหล่านี้ก็สามารถมุ่งเน้นไปที่ผู้ป่วยทั่วไปที่มีกำไรมากกว่า อีกทั้งยังสามารถกำหนดราคาบริการได้ในราคาที่จับต้องได้ จากที่รายได้จากผู้ป่วย ปกส. ครอบคลุมค่าใช้จ่ายคงที่ที่สูงไปแล้ว ซึ่งทำให้โรงพยาบาลเหล่านี้น่าสนใจสำหรับผู้ป่วยระดับกลาง ที่ให้ความสำคัญกับการบริการที่ดีในราคาที่เหมาะสม

ด้วยเหตุนี้ BDMS จึงมีแผนที่จะมุ่งเน้นที่กลุ่มประกันสังคมมากขึ้น โดยจะเพิ่มโรงพยาบาลประกันสังคมอีก 1 แห่งระหว่างปี 66-69 ทั้งใน EEC เพิ่มเติมจากโรงพยาบาลประกันสังคม 8 แห่งที่มีอยู่แล้ว

ในบรรดาผู้ประกอบการ รพ.ประกันสังคม เราชอบ CHG เนื่องจาก 1) การมุ่งเน้นให้บริการใน EEC ที่มีการเติบโตสูง และ 2) การเน้นที่การรักษาโรคที่มีความซับซ้อนสูง ด้วยต้นทุนต่ำ เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ ซึ่งจะได้อานิสงส์จากสังคมสูงวัยของประเทศไทย นอกจากนี้ รายได้ของ CHG ต่อสมาชิกประกันสังคมเพิ่มขึ้น 25% จากปี 2562-2566 เทียบกับ 11% ของ BCH ในช่วงเวลาเดียวกัน แม้ว่าโครงสร้างการชำระเงินจากประกันสังคมจะเหมือนกันก็ตาม เนื่องจาก CHG ให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการรักษาโรคที่ซับซ้อน ซึ่งส่งผลให้มีการรักษาโรคที่มีความซับซ้อนสูงในโรงพยาบาลมากขึ้น

6. การวิเคราะห์ทางการเงิน

เรามองว่าเป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์ EPS สำหรับหุ้นกลุ่มสุขภาพของไทยทั้งหมดที่เราวิเคราะห์ เนื่องจากสถานการณ์โควิดที่เข้ามากระทบ ทั้งในแง่ของยอดขาย และ EBITDA margin ทั้งนี้ จากการที่รายได้จากโควิดมีแนวโน้มที่จะทำให้รายได้ รพ.ดีขึ้น พร้อมกับเพิ่มประสิทธิภาพซึ่งนำไปสู่การขยายตัวของ EBITDA margin ในช่วงโควิด และด้วยเหตุนี้ EBITDA margin ในภาวะปกติจึงน่าจะลดลงหลังโควิดคลี่คลายในปี 66

ดังที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เราประเมินว่ามีเพียง BDMS และ MEGA เท่านั้นที่จะเห็นการเติบโตของกำไรในปี 66 โดยได้แรงหนุนจากการกลับมาของผู้ป่วยต่างชาติ และการเติบโตของธุรกิจกลุ่มแบรนด์ สำหรับ BCH และ CHG การไม่มีรายได้จากโควิดในปี 66 น่าจะทำให้รายได้และกำไรลดลง สำหรับ BH เราคาดว่ากำไรจะลดลงในปี 66 เนื่องจากอุปสงค์คงค้างในปี 65 ทำให้ฐานสูง สำหรับรายละเอียดของแต่ละบริษัท โปรดติดตามในบทวิเคราะห์ของรายบริษัท

7. สรุปผลประกอบการ 3Q65 และแนวโน้ม 4Q65

ในไตรมาส 3/65 กำไรของทั้ง BH และ BDMS เพิ่มขึ้น 27% และ 29% QoQ โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของผู้ป่วยต่างชาติ ขณะที่กำไรของ BCH และ CHG ลดลง 135% และ 71% QoQ ซึ่งเกิดจากรายได้จากโควิดที่ลดลงเนื่องจากโควิดซาลงในไตรมาส 3/65 โดย BCH ยังบันทึกผลขาดทุน 1.5 พันล้านบาทจากวัคซีนที่นำมาให้บริการ ซึ่งเป็นรายเดียวที่ขาดทุนในไตรมาสนี้ สำหรับ MEGA มีกำไรเกินคาด (เนื่องจากธุรกิจในเมียนมาร์ยังดีอยู่ และไม่ได้รับผลกระทบจากการควบคุมเงินทุนมากนัก) โดยมีกำไรเพิ่มขึ้น 23% QoQ และ 26% YoY โดยได้แรงหนุนจากธุรกิจที่มีแบรนด์

ในไตรมาส 4/65 เราคาดว่าผู้ประกอบการโรงพยาบาลทุกรายจะมีแนวโน้มที่ใกล้เคียงกัน เราคาดว่าโควิดจะลดลงอย่างมาก ดังนั้นรายได้จากโควิดจึงลดลงสำหรับทุกราย โดย BCH น่าจะกลับมาทำกำไรได้ตามปกติในไตรมาส 4/65 เนื่องจากการขาดทุนของวัคซีนเพียงครั้งเดียว สำหรับ CHG กำไรน่าจะดีขึ้น QoQ เนื่องจากค่าใช้จ่ายโบนัสในไตรมาส 3/65 เป็นรายการพิเศษครั้งเดียว ขณะที่ BDMS และ BH ยังสามารถทำกำไรได้เพิ่มขึ้น QoQ เนื่องจากการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ยังคงฟื้นตัว สำหรับ MEGA บริษัทคาดว่าจะ ทำกำไรได้ดีขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ ซึ่งได้แรงหนุนจากธุรกิจที่มีแบรนด์

8.การประเมินมูลค่าและความเสี่ยงที่สำคัญ

เราใช้วิธี DCF ในการประเมินราคาหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลของไทย เราเลือก CHG และ MEGA เป็นหุ้นเด่นจากการเติบโตระยะยาวที่ดีและราคาหุ้นที่น่าสนใจ เราชอบ CHG ที่มีแนวโน้มระยะยาวที่ดี ซึ่งได้แรงหนุนจากความสามารถด้านการรักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเน้นที่การให้การรักษาโรคที่มีความซับซ้อนสูงในราคาย่อมเยาแก่คนจำนวนมาก ดังนั้น จึงน่าจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์อันดับหนึ่งจากแนวโน้มประชากรสูงอายุในประเทศไทย หุ้น CHG ซื้อขายที่ P/E ปี 66ที่ 29.8 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 33 เท่า (ก่อนโควิด) สำหรับ MEGA เราคาดว่ากำไรหลักจะเพิ่มขึ้น 2% ในปี 66 โดยได้แรงหนุนจากการเติบโตในระดับปานกลางของยอดขายของธุรกิจแบ รนด์ หุ้น MEGA ซื้อขายที่ P/E ปี 66 ที่สมเหตุสมผล ที่ 16.8 เท่า ซึ่งถือว่าถูกดี เนื่องจากแนวโน้มที่ดีที่หนุนการเติบโตของกำไรหลักที่ 12% CAGR หรือเพิ่มขึ้นสองเท่าทุกๆ หกปี

นอกจากนี้ เรายังระมัดระวังในหุ้น BH และ BDMS เนื่องจากมองว่าอุปสงค์ของการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ ซึ่งหนุนราคาหุ้นอาจลดลงในช่วงท้ายของครึ่งหลังปี 2566 เรามีคำแนะนำ “ขาย” BH (ราคาเป้าหมาย 187 บาท) และแนะนำ “ถือ” BDMS (ราคาเป้าหมาย 28.50 บาท) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง BH เราประเมินว่าหุ้นซื้อขายที่ P/E ปี 66 ที่ 43.1 เท่า นั้นมีราคาสูงเกินไป เนื่องจากกำไรหลักเติบโต 2% ระหว่างปี 59-62 เนื่องจากดำเนินงานโรงพยาบาลเพียงแห่งเดียว สำหรับ BCH เราคงคำแนะนำ “ถือ” (ราคาเป้าหมาย 20.40 บาท) เราชอบมุมมองระยะยาวของ BCH ซึ่งได้แรงหนุนจากกลุ่มประกันสังคมที่กำลังเติบโต อย่างไรก็ตาม ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราเชื่อว่าความสามารถ ในการทำกำไรอาจถูกกดดันจากค่าเสื่อมราคาที่สูงขึ้นจากโรงพยาบาลใหม่สามแห่ง ประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี หุ้น BCH ซื้อขายที่ P/E ปี 66 ที่ 27.9 เท่า ซึ่งถือว่าสมเหตุผลดี จึงแนะนํา “ถือ”

- Advertisement -