Daily Focus: Domestic and Selective Play

2023 SET Target: 1760

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งตัว Sideways ตามคาด ปิดบวกเล็กน้อย 2.64 จุด ณ สิ้นวัน ตามบรรยากาศการลงทุนที่ผ่อนคลายขึ้นบ้าง แต่ยังรอติดตามตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ก่อนการประชุม FED สถานะของนักลงทุนค่อนข้างเบาบาง โดยสถาบันในประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 309 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิบางลงเหลือ 169 ลบ. (แต่เริ่มพลิกกลับมา Long Index Futures 8.1 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index แกว่ง Sideways to Sideways Up ในกรอบ 1,618-1,630 จุด แม้ปลายสัปดาห์ก่อนจะมีปัจจัยกดดันจากตัวเลขเงินเฟ้อ PPI สหรัฐฯ เดือน พ.ย. ที่สูงกว่าคาด แต่ตลาดยังคาดหวังและจับตาเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ เดือน พ.ย. คืนนี้ว่าจะเห็นทิศทางชะลอตัวต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะทำให้ FED ชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยเหลือ 0.50% ในการประชุมสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของปี ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวขึ้นบ้าง คาดช่วยหนุนกลุ่มพลังงานให้ฟื้นตัว หลังจากพักฐานแรงพอสมควรสัปดาห์ก่อน ขณะที่ฝั่งจีนมีปัจจัยบวกจากการทยอยผ่อนคลายมาตรการคุม COVID-19 อย่างค่อยเป็นค่อยไปต่อเนื่อง ช่วยให้เศรษฐกิจจีนทยอยฟื้นตัวขึ้นในปีหน้า ส่วนปัจจัยในประเทศโดยรวมยังไม่มีปัจจัยใหม่ ตลาดยังให้น้ำหนักบวกต่อการเร่งตัวของเศรษฐกิจในประเทศโดยเฉพาะการบริโภค และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวดี ซึ่งยังมีแนวโน้มที่แข็งแกร่งกว่าภาคการส่งออกที่ยังมีความเสี่ยงชะลอจากเศรษฐกิจโลกที่อาจเกิด Recession ปีหน้า กลยุทธ์จึงยังเน้นลงทุนโดยเฉพาะกลุ่ม Domestic และ Consumption Play เป็นหลัก

กลยุทธ์ : เน้นลงทุนในกลุ่ม Domestic Play ตามเศรษฐกิจที่ทยอยเร่งตัว//ยังถือลงทุนต่อเนื่องหลังสะสมหุ้นเพิ่มไปแล้วช่วงปรับฐาน

หุ้นเด่นเดือน ธ.ค. : BBL, BDMS, CRC, M, MAJOR

หุ้นเด่นวันนี้ : JR

  • แนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 7.60 บาท
  • เราคาดมี Catalyst บวกรออยู่ จากโอกาสรับงานต่อในโครงการเปลี่ยนสายไฟฟ้าอากาศเป็นสายไฟฟ้าใต้ดินแนวรถไฟฟ้าสายสีชมพู เฟส 2 หลัง STEC ประกาศได้งานสัปดาห์ก่อน มูลค่า 4.4 พันลบ. ซึ่งเป็นโครการต่อเนื่องจากเฟสแรกที่ JR ดำเนินการอยู่
  • หากได้รับงานตามที่คาดจะหนุน Backlog ของ JR ให้ปรับตัวขึ้นจาก 3.4 พันลบ. ณ สิ้น 3Q22 เป็น 7.4 พันลบ. รองรับการเติบโตถึงปี 2026-2027 นอกจากนี้ยังมีประเด็นบวกรออยู่ต้นปีหน้าสำหรับงานเปลี่ยนสายไฟฟ้าอากาศเป็นใต้ดินแนวรถไฟฟ้าสายสีเหลืองเฟส 2 ในรูปแบบเดียวกัน จะช่วยหนุน Backlog ให้ทะลุ 1 หมื่นลบ.ในอนาคต
  • แนวรับ 7.10-7 บาท แนวต้าน 7.50-7.65//7.80 บาท

Fund Flow : ช่วง 2 วันที่ผ่านมา กระแสเงินทุนในภูมิภาคผสมผสานโดยไหลเข้าบางๆ วันศุกร์ ก่อนพลิกมาไหลออกวานนี้ สุทธิไหลเออกเล็กน้อย US$25 ล้าน เม็ดเงินส่วนใหญ่ไหลออกจากอินโดนีเซีย US$123 ล้าน ส่วนเกาหลีใต้ไหลเข้า US$96 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังผสมผสาน รอดูตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ คืนนี้ รวมถึงการประชุม FED ครั้งสุดท้ายของปี

ประเด็นสําคัญวันนี้

(-) เงินเฟ้อผู้ผลิตสหรัฐฯ เดือน พ.ย. สูงกว่าคาด Headline PPI +0.3% M-M, +7.4% Y- Y ส่วน Core PPI +0.4 M-M, +6.2% Y-Y อย่างไรก็ตาม ยังถือว่าชะลอจากเดือนก่อนหน้า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตอบรับเชิงลบวันศุกร์เช่นเดียวกับตลาดหุ้นเอเชียวานนี้ ส่วนสัปดาห์นี้ตัวเลขสำคัญที่ต้องติดตามคือเงินเฟ้อ CPI เดือน พ.ย. ตลาดคาด Headling +0.4% M-M, +7.3% Y-Y ส่วน Core คาด +0.3% M-M, +6.1% Y-Y เป็นตัวเลขท้ายสุดก่อนการประชุม FED นัดสุดท้ายของปีวันที่ 13-14 ธ.ค. 22

(+) SGC เข้าเทรดวันนี้ ดำเนินธุรกิจให้บริการสินเชื่อแก่ผู้มีรายได้ต่ำ และ SME ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านและการพาณิชย์ สินเชื่อรถแลกเงิน สินเชื่อปรับโครงสร้างหนี้ และสินเชื่อผ่อนทอง โดยใช้กลยุทธ์เชิงรุกเข้าถึงที่ทำงานของลูกค้าการเข้าเป็นพันธมิตรกับตัวแทนและผู้จำหน่าย รวมถึงใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของ SINGER และกลุ่ม JMART ซึ่งคาดช่วยให้สามารถควบคุมคุณภาพหนี้ได้มีประสิทธิภาพ เราคาดกำไรปี 2023 จะเติบโต +41% Y-Y และช่วงปี 2021-2024 เฉลี่ย +25% CAGR ประเมินราคาเป้าหมาย 5.50 บาท (Source: FSSIA และ Finansia เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายฯ)

(+) IPO ใหม่ SVR ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายประเภทแนวราบครอบคลุม บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม และอาคารพาณิชย์ มีจุดแข็งคือแนวคิด Best Smart Living เน้นออกแบบจัดสรรพื้นที่การใช้เทคโนโลยี บนทำเลที่มีศักยภาพ ในราคาที่คุ้มค่า ปัจจุบันพัฒนาโครงการแล้ว 9 โครงการในทำเลบางปูและนิคมอุตสาหกรรมอย่างชลบุรีและระยอง ปัจจัยการเติบโตมาจากจำนวนโครงการที่พัฒนาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง คาดกำไรสุทธิปี 2023 +241% Y-Y บนสมมติฐานบริษัทมีแผนเปิดตัวใหม่ 3 โครงการ ซึ่งกระจายในทำเลใหม่และกลุ่มลูกค้าใหม่ ประเมินราคาเป้าหมายอิง PER 8 เท่า ที่ 3 บาท (Finansia อาจเป็นผู้จัดจำหน่ายฯ)

 

(+) ตลาดดาวโจนส์ ปิดเพิ่มขึ้น 528.58 จุด หรือ +1.58% ปิดที่ 34,005.04 จุด ได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของหุ้นไมโครซอฟท์ ขณะที่นักลงทุนจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐในอังคาร และผลการประชุม FED ในวันพุธตามเวลาสหรัฐฯ

(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ ถูกกดดันจากการที่จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นในจีน ขณะที่นักลงทุนจับตาการประชุม FED และ ECB ในสัปดาห์นี้

(+) ตลาดหุ้นเอเชีย ปรับขึ้น ตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐฯ

(-) ค่าเงินบาท อ่อนค่า อยู่ที่บริเวณ 34.80 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ปิดเพิ่มขึ้น 2.15 ดอลลาร์ หรือ 3% ปิดที่ 73.17 ดอลลาร์/บาร์เรล ได้ปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ที่ว่าอุปทานน้ำมันโลกจะเผชิญภาวะตึงตัว เนื่องจากท่อส่งน้ำมันคีย์สโตน (Keystone) ยังคงปิดทำการ และรัสเซียขู่ว่าจะลดกำลังการผลิตน้ำมัน ในขณะที่เช้านี้ปรับขึ้นต่อที่ระดับ 73.43 ดอลลาร์/บาร์เรล +0.36%

(0) ราคาทองคำ COMEX ปิดลดลง 18.4 ดอลลาร์ หรือ 1.02% ปิดที่ 1,792.3 ดอลลาร์/ออนซ์ จากการแข็งค่าของดอลลาร์เป็นปัจจัยกดดันตลาดทองคำ ในขณะที่เช้านี้รีบาวน์ที่ระดับ 1,793.6 ดอลลาร์/ออนซ์ +0.07%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 910.40 / +2.31

- Advertisement -