- ชูเจ้าถิ่นรายใหญ่ธุรกิจจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า – ปล่อยสินเชื่อ แห่งโซนภาคตะวันออก
SM พร้อมเทรดวันแรกใน SET 20 ธันวาคม 65 มั่นใจนักลงทุนต้อนรับคึกคัก ชูจุดเด่นเป็นผู้นำในธุรกิจจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้า และให้บริการสินเชื่อครบวงจร มีกลุ่มลูกค้าภาคตะวันออกซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญที่มีศักยภาพสูง คาดในปี 2566 ผลงานจะสามารถกลับมาเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากเศรษฐกิจโดยรวมที่เริ่มฟื้นตัว บวกปัจจัยหนุนจาก EEC และเงินระดมทุนจะช่วยเสริมศักยภาพการขยายธุรกิจ สร้างผลตอบแทนที่มั่นคง และยั่งยืน 3 โบรกเกอร์ เคาะราคาระหว่าง 2.70-2.90 บาท หลัง IPO หนี้สินต่อทุนลดลงเหลือแค่ 1.6 เท่า จาก 4.3 และกำไรจะเติบโตต่อเนื่อง 3 ปี
นายชูศักดิ์ วิวัฒน์วงศ์เกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท สตาร์ มันนี่ จำกัด (มหาชน) หรือ SM เปิดเผยว่า บริษัทฯ พร้อมเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 20 ธันวาคม 2565 นี้ โดยใช้ชื่อย่อ “SM” ในการซื้อขายหลักทรัพย์ เป็นอีกก้าวสำคัญสู่ความยั่งยืน และมั่นใจว่าเงินที่ได้จากการระดมทุนจะสนับสนุนโอกาสในการเติบโต พร้อมเดินหน้าในการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์สินเชื่อทางการเงินใหม่ๆ ที่หลากหลาย พร้อมทั้งขยายและเสริมศักยภาพสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการตามจังหวัดที่สำคัญของประเทศ ด้วยจุดแข็งของ SM มีกลุ่มลูกค้าภาคตะวันออกซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากการขยายของ EEC ทำให้พื้นที่ดังกล่าวมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ทั้งภาคครัวเรือน ภาคอุตสาหกรรม และภาคการท่องเที่ยว เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ SM สามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน
โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนจำนวนประมาณ 583 ล้านบาท (หลังหักค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง) นำไปใช้ขยายธุรกิจการให้บริการสินเชื่อทุกประเภท ขยายสาขา รวมถึงธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ธุรกิจนายหน้าประกันวินาศภัย และ/หรือประกันชีวิต เป็นต้น นอกจากนี้ ใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมบางส่วนจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทฯ ในอนาคต อีกทั้งเป็นการยกระดับมาตรฐานของบริษัทฯ เข้าสู่มาตรฐานสากล เพิ่มความน่าเชื่อถือในด้านภาพลักษณ์ ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้าและคู่ค้า รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน เตรียมพร้อมสำหรับโอกาสการเติบโตในอนาคต
สำหรับแผนธุรกิจในระยะยาว หลังจากได้เงินจากการระดมทุน SM จะเน้นใน Core Business ที่บริษัทฯมีความชำนาญอยู่แล้ว เพื่อรองรับการเติบโตของ EEC โดยบริษัทจะพยายามรักษาระดับการเติบโตของธุรกิจการให้สินเชื่อให้ต่อเนื่องสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการเพิ่มสัดส่วนพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อที่มีอัตราผลตอบแทนที่สูงให้มากขึ้น ซึ่งจะรักษาอัตราส่วน Loan Yield และ Net Interest Margin ให้อยู่ในระดับที่ค่อนข้างดี รวมถึงแสวงหาโอกาสในการขยายธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าให้ครบวงจรมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ SM ประกอบธุรกิจหลัก 2 ประเภท คือ 1. จำหน่ายสินค้า เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อการพาณิชย์ เช่น โทรทัศน์ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เครื่องปรับอากาศ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ตู้แช่ รถจักรยานยนต์ และอุปกรณ์อื่น ๆ ทั้งขายเงินสดและผ่อนชำระโดยจัดทำเป็นสัญญาเช่าซื้อ บริษัทฯ ถือเป็นผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่และเป็นที่รู้จักในภาคตะวันออกโดยจำหน่ายสินค้าผ่าน “ร้านสตาร์มันนี่” เป็นหลัก
และ 2. ปล่อยสินเชื่อ ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคลที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน, สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่ใช่สินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน และสินเชื่อที่มีหลักประกันอื่น ๆ เช่น ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง นอกจากนี้บริษัทยังให้บริการด้านอื่นที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม เช่น นายหน้าประกันวินาศภัย รวมถึงบริการซื้อประกันรถยนต์ภาคบังคับ (พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ) และต่อภาษีประจำปีรถยนต์และรถจักรยานยนต์ เป็นต้น
นางศิริพร เหล่ารัตนกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 2 บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า มั่นใจเมื่อหุ้น SM เข้าซื้อขายในวันที่ 20 ธันวาคมนี้ จะได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างคึกคัก เนื่องจากช่วงที่เปิดเสนอขายหุ้นในช่วงที่ผ่านมา กระแสความต้องการหุ้น SM มีมากกว่าจำนวนที่จัดสรร โดยจากความต้องการที่ล้นหลามครั้งนี้ นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ SM แล้ว การกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 300 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 2.04 บาท ถือเป็นราคาที่เหมาะสม และเป็นที่สนใจให้นักลงทุนที่กำลังมองหาหุ้นเติบโตรับเศรษฐกิจฟื้นตัวในอัตราเร่ง
เชื่อว่า SM จะเป็นหุ้นน้องใหม่ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับนักลงทุนได้ เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โดยเป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจที่คร่ำหวอดในวงการมานานกว่า 30 ปี มีจุดแข็งคือประสบการณ์และมีความชำนาญในพื้นที่ภาคตะวันออก ผู้บริหารรู้จักลูกค้าและเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าในพื้นที่ค่อนข้างดี เน้นการให้บริการและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าจึงทำให้มีลูกค้าเดิมและใหม่เข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ SM ยังมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลที่ไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิอีกด้วย
ด้านผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 SM มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,066.84 ล้านบาท เติบโต 12.09% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 80.79 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้จากการขายสินค้าสัดส่วน 61.87% รายได้ดอกเบี้ยจากสัญญาเช่าซื้อ 5.86% รายได้ดอกเบี้ยจากการให้กู้ยืม 28.28% รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการและรายได้อื่นอยู่ที่ 3.99% พร้อมด้วยการควบคุมลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ต่อสินเชื่อรวมอยู่ในระดับใกล้เคียงกับอุตสาหกรรมที่ 4.48% อย่างไรก็ดี ถึงแม้ว่าช่วงที่ผ่านมาผลการดำเนินงานของ SM อาจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่ในอนาคต คาดว่าจะสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมเริ่มฟื้นตัว มีปัจจัยหนุนจากการขยายตัว EEC และเงินระดมทุนพร้อมสนับสนุนแผนการเติบโตของบริษัทฯ
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ให้มูลค่าพื้นฐานที่ 2.90 บาท มองว่า SM เป็นผู้ประกอบการธุรกิจสินเชื่อรายเล็กที่คาดจะได้อานิสงค์บวกจากทั้งการเติบโตของเศรษฐกิจในกลุ่มจังหวัดนำร่องของโครงการ EEC พื้นที่ที่บริษัทมีความชำนําญและประสบการณ์ในการทำธุรกิจมายาวนาน นอกจากนี้หลังจากการ IPO คาดบริษัทจะมีระดับ D/E Ratio ลดต่ำลงเหลือราว 1.6x จาก ช่วงก่อน IPO ที่ 4.3x ทำให้บริษัทสามารถกลับมาเร่งขยายธุรกิจสินเชื่อได้ต่อเนื่องมากขึ้น เพราะจะมีช่องว่ํางสําหรับการใช้ Leverage ด้วยตราสารหนี้เพิ่มเติม ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในระยะยาวให้กับ SM ในแง่ Valuation ประเมินมูลค่าของ SM โดยอิง Prospective PBV ที่ 2.1x (ภายใต้สมมุติฐาน Sustainable ROE ที่ 14%, L-T growth ที่ 4%, Cost to Equity ที่ 8.7%, Rm 9% และ Rf 2.5%) ได้มูลค่าพื้นฐานที่ 2.90 บาท
บล.เอเซีย พลัส เคาะเป้า 2.80 บาท โดวระบุว่า SM เป็นผู้ประกอบการขายเองใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ในภาคตะวันออก ซึ่งให้บริการทั้งแบบขายสดและเงนิผ่อน นอกจากนี้ ยังปล่อยสินเชื่อเงินกู้ยืม ได้แก่ สินเชื่อจํานําทะเบียนรถ ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างอีกด้วย โดยมีจุดเด่นด้านความชํานาญในพื้นที่และความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า ซึ่งมีศักยภาพเติบโตอีกมากหลังระดมทุน IPO จากแนวโน้มการขยายสาขา 10-15 สาขา/ปี ซึ่งจะส่งผลบวกต่อแนวโน้มการขายสินค้าและสินเชื่อให้เติบโตตามไปด้วย ซึ่งแนวโน้มกําไรสุทธปี 65-67 จะเติบโต 7% yoy 36% yoy และ 15% yoy ตามลําดับ จากการขยายสาขา เน้นขายสินค้า margin สูง และเน้นปล่อยสินเชื่อมากขึ้น กําหนด Fair value ปี 66 เท่ากับ 2.80 บาท
ขณะที่ บล. เคจีไอ ประเมิน มูลค่าเหมาะสมที่ 2.70 บาท บน PE 18.5 เท่า ประมาณกำไรของบริษัทที่ 136/163/184 ล้านบาท ในปี 65/66/67 โดยกำไรสุทธิของบริษัทมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงผลตอบแทนสินเชื่อ โดยการเปลี่ยนแปลง 1% จะมีผลต่อกำไรสุทธิ 12% ประเมินมูลค่าหุ้นโดยใช้ PE 18.5 เท่า เช่นเดียวกับบริษัทนอนแบงก์อื่นๆ ทำให้ได้ราคาเหมาะสมที่ 2.70 บาท