คาดฟื้นตัวแต่จำกัด ติดตามตัวเลขส่งออกพ.ย. ไทย

ตลาดหุ้นวานนี้...SET Index ปิดที่ 1,609.94 จุด เพิ่มขึ้น 5.50 จุด (+0.34%) มูลค่าการซื้อขาย 50,879.78 ล้านบาท ฟื้นตัวขึ้นหลังปรับตัวลงแรง

แนวโน้มตลาดวันนี้… ขานรับปัจจัยบวกจาก 1. กลุ่มพลังงานคาดว่าจะหนุนตลาด หลังราคาน้ำมันดิบดีดตัวขึ้นหลังสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลงมากกว่าคาด รวมถึงสหรัฐฯ มีแผนที่จะซื้อน้ำมันเพื่อนำเข้าสู่ SPR ราว 3 ล้านบาร์เรล และแรงหนุนจากความหวังที่ว่าจีนจะกลับมาเปิดประเทศ หลังมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง 2. ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯ ดีดตัวขึ้น จากการที่ผู้บริโภคคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ ขณะที่ดัชนีการคาดการณ์เงินเฟ้อในช่วง 12 เดือนข้างหน้าของผู้บริโภคสหรัฐลดลงสู่ระดับ 6.7% ขณะที่ยอดขายบ้านมือสองร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปีในเดือนพ.ย. สะท้อนภาพตลาดอสังหาฯ ได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง เป็นข้อมูลสนับสนุนให้เฟดชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 66 ส่วนปัจจัยในประเทศติดตามตัวเลขส่งออกพ.ย. ของไทยที่คาดว่าจะหดตัว 5-10% จากฐานที่สูงในปี 64 และค่าเงินบาทที่แข็งค่า กดดันต่อหุ้นกลุ่มส่งออกทั้งอาหารและอิเล็กทรอนิกส์ โดยเริ่มเห็นแรงขายออกมาล่วงหน้าบ้างแล้ว

กลยุทธ์การลงทุน… ประเมิน SET Index แกว่งตัว sideway up แนะนำ Trading ในกรอบ 1600-1622 โดย Selective Buy ในหุ้นที่อิงกับปัจจัยบวกภายในประเทศ เช่น กลุ่มค้าปลีก CPALL DOHOME MBK COM7 JMART ท่องเที่ยว SHR MINT CENTEL ERW AAV SPA ธนาคาร BBL KBANK TTB กลุ่ม China play PTTGC TOP RCL WICE TTA JWD Window dressing target ADVANC SCC TU PTT OR AOT TLI

เคาะไป คุยไป … SABUY

  • ปี 65 ตั้งเป้ารายได้ 5 พันล้านบาท จากธุรกิจเดิม 3 พันล้านบาท ที่สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจ Solutions and Channels ผ่าน Drop-off และธุรกิจ Retail ผ่าน PTECH ส่วนมาร์จิ้น คาดว่าจะขยับขึ้นจากการคุมค่าใช้จ่ายได้ดีจากการควบรวมกลุ่ม Drop- off หลายแบรนด์เข้าด้วยกัน และการรับรู้กำไรจากการลงทุนในบริษัทต่างๆ ในกลุ่ม
  • ล่าสุดได้เข้าลงทุนกว่า 462.67 ล้านบาท สัดส่วน 5% ในหุ้น GHL ประเทศมาเลเซีย ที่เป็นผู้ให้บริการ Online Payment Gateway ใน 5 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย โดยจะช่วยให้ SABUY เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างกว้างขวาง ผ่านการขยาย E-Commerce Platform ใน Ecosystem ของบริษัทไปยังกลุ่มลูกค้าของ GHL
  • เป้ารายได้ปี 66 จะเพิ่มขึ้นเป็น 20,000 ล้านบาท โดยจะมาจากการเติบโตในทุกๆ ธุรกิจของบริษัท โดยธุรกิจเดิมราว 5 พันล้านบาท กลุ่ม Enterprise & Life ราว 9 พันล้านบาท กลุ่ม Connext ราว 3 พันล้านบาท กลุ่ม InnoTainment ราว 1 พันล้านบาท และกลุ่ม Financial Inclusion ราว 2 พันล้านบาท

Global Markets

(+) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวก ได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐ

(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวก ได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทไนกี้ได้ช่วยหนุนหุ้นกลุ่ม ค้าปลีกของยุโรปปรับตัวขึ้น

(+) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปรับตัวขึ้นจากสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐที่ลดลงมากกว่าคาด รวมทั้งความหวังที่ว่าจีนจะผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง หลังจากไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม

(+) สัญญาทองคำตลาด COMEX ทรงตัวหลังจากพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งในวันอังคาร ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น

ประเด็นเด่นวันนี้

  • ก.ต.ท.เห็นชอบการออกเกณฑ์รองรับ SME – Startup เสนอขาย “ตราสารหนี้กลุ่มยั่งยืน” โดยการเสนอขายสามารถทำได้ตามรูปแบบ PP-10 คือ เสนอขายแบบ Private Placement ให้นักลงทุนโดยตรงไม่เกินคราวละ 10 คน หรือระดมทุนแบบ Crowdfunding โดยในอดีต ตราสารหนี้กลุ่มยั่งยืนมักออกโดยบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้มีการแข่งขันด้านอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำ การเห็นชอบกับเกณฑ์ดังกล่าว ทางฝ่ายมองเป็นประโยชน์ต่อทั้งบริษัทเล็ก และตัวประชาชนผู้ระดมทุนเอง ทำให้มีทางเลือกในการลงทุนมากขึ้น รวมถึงมีโอกาสสร้างผลตอบแทนมากขึ้นเนื่องจาก โดยปกติแล้วหุ้นกู้ของบริษัทที่มีขนาดเล็กมักมีดอกเบี้ยสูงกว่าหุ้นกู้ของบริษัทขนาดใหญ่  เนื่องจากสัดส่วนความเสี่ยงที่เยอะกว่า เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน
  • คืนนี้ วันสำคัญทุกสายตาจับจ้องที่ GDP สหรัฐฯ ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดได้รับแรงกระแทกจากผลการปลดล็อก ช่วงการแกว่งของ Long term yield ทำให้เยนแข็งค่ากดดันค่าเงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่า ทำให้คืนนี้เป็นวันสำคัญที่ทิศทางการลงทุนจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง เนื่องจากหาก GDP สหรัฐออกมา กรณี 1) สูงกว่าคาด: มีแนวโน้มที่ค่าเงินดอลลาร์จะกลับมาอิงทางแข็งค่าอีกครั้ง กดดัน Fund flow และค่าเงินบาทบ้านเราให้อ่อนค่าลง กรณี 2) เท่ากับหรือต่ำกว่าคาด: ตลาดจะมองว่าเฟด จะ Hawkish น้อยลง และสกุลเงินที่เป็นเป้าหมายในการเก็งกำไร จะยังคงเป็นสกุลเยน ทำให้มีแนวโน้มที่บาทจะแข็งค่าขึ้นโดยเปรียบเทียบ ทางฝ่ายให้น้ำหนักกับกรณีที่ 1 มากกว่า เนื่องจากตัวเลข Consumer Confident ซึ่งสื่อถึงการบริโภคที่มีสัดส่วนกว่า 70% ของ GDP ออกมาดีกว่าคาด จึงเป็นไปได้สูงที่ GDP จะออกมาดี ตามด้วยเช่นกัน เป็นโอกาสของหุ้นที่ได้ประโยชน์จากบาทอ่อนอีกครั้ง
- Advertisement -