สรุปภาวะตลาด

วันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวลงช่วงสั้นในตอนเปิดตลาดแต่มีแรงซื้อกลับ ทำให้ดัชนีทยอยไต่ระดับขุ้นต่อเนื่อง  ประเด็นจากความกังวลยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศจีนที่อยู่ในระดับสูง ในการเปิดประเทศของจีน แต่โดยรวมส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยมากกว่า โดยมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้น Big Cap. เช่น กลุ่มพลังงาน อิเล็กทรอนิกส์ และค้าปลีก ทำให้ดัชนี SET Index ทำจุดสูงสุดในรอบ 3 เดือน ส่งผลให้ดัชนี SET Index ปิดตลาดที่ 1,661.20 จุด +13.92 จุด +0.85% มูลค่าการซื้อขาย 49,914ลบ. ต่างชาติ +8,444.71 ลบ. TFEX +14,636 สัญญา ตราสารหนี้ +552.99 ลบ.

แนวโน้มตลาดวันนี้

คาดดัชนีในวันนี้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจาก Fund Flow นักลงทุนต่างประเทศไหลเข้าติดต่อกันเป็นวันที่ 3 รวม 1.5 หมื่นลบ. หลังจีนประกาศเปิดประเทศต้น ม.ค. 66 ขณะที่นักลงทุนคาดว่าเฟดจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากยอดผู้ขอรับสวัสดิการสหรัฐปรับตัวขึ้นตามคาด มองกรอบดัชนีในวันนี้ที่ 1,650-1,670 จุด

ปัจจัยบวก+

+ ดัชนีดาวโจนส์ปิดพุ่งขึ้น 345.09 จุด หรือ +1.05% ได้แรงหนุนจากมุมมองที่ว่าตัวเลขว่างงานที่เพิ่มขึ้นใน สหรัฐเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจทำให้ตลาดแรงงานเริ่มคลายความร้อนแรง และจะทำให้เฟดชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

+/- ธปท.คาดภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคมและระยะต่อไปมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยว แต่มีปัจจัยเสี่ยงจากอุปสงค์ของต่างประเทศที่ชะลอตัว และต้นทุนค่าจ้างและราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

+/- โกลด์แมน แซคส์ เตือนว่าการที่จีนเปิดพรมแดนเร็วกว่าคาด และอาจทำให้มีปัญหาด้านแรงงานและห่วงโซ่ อุปทานในระยะสั้น แต่เชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนในระยะยาว คาดเศรษฐกิจจีนในปี 2566 จะขยายตัว 5.2% จากเดิม 4.5%

ปัจจัยลบ –

– สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ปิดลดลง 56 เซนต์ -0.7% ปิดที่ 78.40 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มอุปสงค์ที่อาจชะลอตัวลง หลังจากหลายประเทศออกมาตรการเข้มงวดในการตรวจหาเชื้อโควิด-19 จากผู้ที่เดินทางมาจากจีน ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับจำนวนผู้ติดเชื้อจำนวนมาก และการที่ EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้นสวนทางคาดการณ์

– ยังมีความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ หลังวานนี้รัสเซียยิงขีปนาวุธถล่มยูเครนมากกว่า 120 ลูก โดยมุ่งเป้าไปที่เมืองสำคัญต่างๆ

– Airfinity ซึ่งเป็นบริษัทรวบรวมข้อมูลด้านสุขภาพของอังกฤษ คาดว่าผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งหมดในจีนมีจำนวน 18.6 ล้านราย โดยมีการแพร่ระบาดมากขึ้นตั้งแต่เดือนพ.ย. และรุนแรงขึ้นในเดือนนี้ จากการที่รัฐบาลยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ รวมทั้งยกเลิกการตรวจ PCR ต่อประชากร

– บรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเตือนว่าการแพร่ระบาดอย่างหนักของโควิด-19 ในจีน หลังยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ อาจก่อให้เกิดแหล่งเพาะพันธุ์เชื้อไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่

– ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เปิดเผยว่าการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ชะลอตัวลงในเดือนพ.ย. การปล่อยสินเชื่อธุรกิจขยายตัว 8.4% หลังขยายตัว 8.9% ในเดือนต.ค.การเติบโตของการปล่อยสินเชื่อภาคครัวเรือนชะลอตัวลงสู่ 4.1% จาก 4.5% ในเดือนต.ค. ถูกกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น และความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจถดถอย

กลยุทธ์การลงทุน

  • SET 50 : หุ้นเข้า CENTEL COM7 DELTA RATCH หุ้นออก BLA IRPC KCE SAWAD SET 100 : หุ้นเข้า AAV BYD DELTA JAS NEX SABUY THG หุ้นออก AEONTS MAJOR STEC SUPER SYNEX TASCO TTA มีผล 30 ธ.ค.65
  • ช้อปดีมีคืนปี 66 : BJC CPALL MAKRO CRC COM7 SPVI CPW JMART HMPRO ZEN M AU
  • จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศเร่งตัวขึ้น : BCH CHG EKH THG WPH
  • จีนเปิดประเทศ 8 ม.ค. 66 : MINT CENTEL ERW SPA AU SHR

หุ้นรายงานพิเศษ

BJC – “4Q65 เข้าสู่ช่วง High Season และช้อปดีมีคืนหนุน” (Bloomberg consensus 40.00 บาท)

  • รายได้จากการขาย 3Q65 เท่ากับ 36,874 ล้านบาท +7%YoY, -3%QoQ และมีกำไร 932 ลบ. +154%YoY, -23%QoQ โดยมีรายได้ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 23,149 ลบ. +2%YoY, -6%QoQ สอดคล้องกับรายได้บรรจุภัณฑ์เติบโตดีขึ้น 6,247 ลบ. +39%YoY, +3%QoQ ขณะที่สัดส่วนรายได้คิดเป็น 62% และ 17% ตามลำดับ ยอดขายฟื้นตัวเมื่อเทียบ YoY ตามเศรษฐกิจในไทยและเวียดนาม เมื่อเทียบ QoQ ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในช่วงต้นไตรมาส ด้าน %GPM ที่ระดับ 18% ค่อนข้างทรงตัวเมื่อเทียบ QoQ และ YoY (3Q64 = 18.2%, 2Q65 = 18.0%) มีปัจจัยกดดันจากต้นทุนวัตถุดิบ เพิ่มสูงขึ้นตามเงินเฟ้อและค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น
  • ปี 65 บริษัทตั้งงบลงทุน 1 หมื่นล้านบาท +20%YoY แบ่งเป็นธุรกิจค้าปลีก 61% ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ 22% และอื่นๆ 17% โดย ผบห. เร่งขยายสาขา โดยบิ๊กซี 1 สาขา บิ๊กซี มินิ 25 สาขา และล่าสุดเปิดตัว MM Food service เป็นสาขาที่ 3 ในเมืองทองธานี ได้กระแสตอบรับเป็นอย่างดี ขณะที่ปัจจุบันธุรกิจเน้นพัฒนาแอปพลิเคชันเพื่อเข้าถึงลูกค้าในการใช้จ่ายที่สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น
  • ความเห็น เรามีมุมมองเป็นบวกต่อผลประกอบการทั้งใน 4Q65 และ 1Q66 เนื่องจากเป็นช่วง High Season ของธุรกิจค้าปลีก อีกทั้งมาตรการช้อปดีมีคืนของภาครัฐช่วยกระตุ้นการใช้จ่าย หนุนตัวเลข SSSG มีโอกาสพลิกบวกจาก -0.5% ใน 3Q65 และ -0.1% ใน 4Q64 ท้ังนี้ Bloomberg Consensus คาดกำไร 4Q65 เฉลี่ย 1,331 ลบ. -4%YoY +43%QoQ ฟื้นตัวแรงจาก 3Q65 ที่มีน้ำท่วม และคาดกำไรปี 65 เฉลี่ย 4,875 ล้านบาท +36%YoY โดย 9M65 มีกำไร 3,382 ลบ.+54%YoY สามารถทำได้ 69% ของประมาณการ consensus ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมา +13%YTD ทำให้หุ้นซื้อขายที่ P/E 29 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มที่ระดับ 31 เท่า เราจึงแนะนำ “ซื้อ”

หุ้นมีข่าว

(+) GULF (Bloomberg consensus 62.50 บาท) GULF ประกาศทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์หุ้น THCOM วันที่ 5 ม.ค.นี้ ราคารับซื้อ 9.92 บาทต่อหุ้น จากรายย่อยทั้งหมด 58.87% ส่วนวันนี้ (30 ธ.ค. 65) กัลฟ์นัดชำระเงินค่าหุ้น THCOM ให้อินทัชวงเงิน 4.47 พันล้านบาท และรับโอนหุ้นไทยคม เข้าพอร์ต 450 ล้านหุ้น ด้านกสิกรไทยส่งซิกบอร์ดไทยคมเตรียมประกาศจ่ายปันผลพิเศษ 1-2 บาทต่อหุ้น เร็วๆ นี้ (ที่มา ทันหุ้น)

(+) HMPRO (Bloomberg consensus 17.50 บาท) คาดยอดขายสาขาเดิม (SSSG) เติบโตใกล้เคียงกับตัวเลขจีดีพี เดินหน้าขยายสาขา เน้นไปที่กลุ่มสินค้าก่อสร้าง ลุยขยายสัดส่วนการขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ พร้อมเพิ่มสัดส่วนสินค้าแบรนด์ตัวเอง Private Label ต่อเนื่อง ดันมาร์จิ้น รวมถึงกางแผนรุกตลาดเวียดนามเพิ่มเติม (ที่มา ทันหุ้น)

(+) NWR (Bloomberg consensus 1.00 บาท) ปี 2566 ยังสดใส เตรียมรับรู้โครงการใหญ่อย่างรถไฟทางคู่เด่นชัย-เชียงของ และรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ พร้อมหลาย Mega Project ในอนาคต ทยอยออกมาต่อเนื่อง หนุนประมูลงานเพิ่มอีก 14,000 ล้านบาท จากปัจจุบันมี Backlog สูงถึง 34,000 ล้านบาท รองรับรายได้ถึงปี 2569 (ที่มา ทันหุ้น)

(+) PTG (Bloomberg consensus 18.15 บาท) ตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนกำไรจากธุรกิจ Non-Oil ให้เพิ่มสูงขึ้น เพื่อลดการพึ่งพาธุรกิจน้ำมันแต่เพียงอย่างเดียว ล่าสุดเปิดศูนย์ “ออโต้แบคส์” สาขาที่ 45 ส่วนปี 2566 เล็งขยายอีก 50 สาขา พร้อมวางเป้า 3 ปี ขยายเพิ่มแตะ 200 สาขาทั่วประเทศ (ที่มา ทันหุ้น)

ปัจจัยจับตาในประเทศ

  • 30 ธ.ค. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานภาวะเศรษฐกิจไทย
  • 25 ม.ค. 2566 กำหนดประชุมกนง.ครั้งที่ 1/2566

ปัจจัยจับตาต่างประเทศ

  • 31 ธ.ค. จีน รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต-ภาคบริการ เดือนธ.ค.จาก สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน
  • 2 ม.ค. 2566 อียู รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนธ.ค.จากเอส แอนด์พี โกลบอล
  • 3 ม.ค. 2566 จีน รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนธ.ค.จากไฉซิน
    • สหรัฐ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายเดือนธ.ค. การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนพ.ย.
    • เฟดสาขาแอตแลนตาจะรายงานตัวเลขคาดการณ์ GDPNow ครั้งใหม่
  • 31 ม.ค. – 1 ก.พ. กำหนดการประชุมธนาคารกลางสหรัฐเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
- Advertisement -