บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง: 

Home Product Center (HMPRO TB)

เติบโตได้ดีต่อเนื่อง

ปรับประมาณการและราคาเป้าหมาย แนะนำ ซื้อ

เราคาดการณ์กำไร 4Q65 ที่จะประกาศในวันที่ 21-22 ก.พ. เพิ่มขึ้นทั้ง QoQ, YoY จากยอดขายและอัตรากำไรเพิ่มขึ้น เราปรับประมาณการกำไรปี 2566-2567 เพิ่มขึ้น 2-5% สะท้อนอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น โดยคาดว่า HMPRO จะทำกำไรสูงสุดใหม่ในปี 2565 และเติบโตต่อเนื่องในปี 2566 จาก SSSG ในเกณฑ์ดีและการขยายสาขาเชิงรุกมากขึ้น การปรับประมาณการและ Rollover ราคาเป้าหมาย (DCF, WACC 7.3%, G 3%) มาเป็นปีนี้ทำให้ราคาเป้าหมายเพิ่มเป็น 18.50 บาท จากเดิม 16.80 บาท แนะนำ ซื้อ

คาดยอดขาย 4Q65 เติบโตในเกณฑ์ดี

เราคาดว่า SSSG 4Q65 ของโฮมโปรอยู่ในเกณฑ์ดีที่ +2.5% (จากฐานสูงใน 4Q64 ที่ +11% จากการเปิดเมือง) เนื่องจากอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ฝนตกน้อยลง และการจัด HomePro Living Expo ขณะที่ SSSG เมกาโฮมมีแนวโน้มทรงตัว และมาเลเซีย +12% (จากฐานต่ำ) นอกจากนั้น เมกาโฮมเปิดสาขาใหม่ 2 สาขาใน 4065 (+4 สาขา YoY) เราจึงคาดว่ายอดขาย HMPRO เพิ่มขึ้น 8% QoQ และ 6% YoY เป็น 17.12 พันล้านบาท รายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้น 9% QoQ และ 27% YoY เป็น 481 ล้านบาทใน 4Q65

กำไรสุทธิ 4Q65 จะเป็นระดับสูงสุดของปี

อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 15 bps YoY เป็น 27.2% จากการเพิ่มสัดส่วนสินค้า Private label เป็นประมาณ 20.5% (จากประมาณ 19.5% ใน 4Q64) และประสิทธิภาพการดำเนินงานเพิ่มขึ้น ขณะที่ค่าใช้จ่ายจะเร่งตัวสูงขึ้นจากการเตรียมเปิดสาขาใหม่ และค่าไฟที่เพิ่มขึ้น โดยสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายคิดเป็น 19.9% เทียบกับ 19.7% ใน 4Q64 เราคาดการณ์กำไรสุทธิ 4Q65 เพิ่มขึ้น 18% QoQ และ 2% YoY เป็น 1.81 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้กำไรปี 2565 เท่ากับ 6.38 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% YoY

ขยายสาขาเชิงรุกมากขึ้นในปี 2566

ผู้บริหารตั้งเป้าการขยายสาขาเชิงรุกมากขึ้นในปี 2566 ที่ 7-9 สาขา จากในช่วง 5 ปีที่ ผ่านมามีการเปิดสาขาใหม่ 3-6 สาขาต่อปี โดยปีนี้จะเน้นที่เมกาโฮมซึ่งปัจจุบันยังมีสาขาเพียง 18 สาขา (โฮมโปรมี 92 สาขา) เราคาดการณ์ SSSG โฮมโปรที่ 4% โดยได้ผลบวกจากการบริโภคเพิ่มขึ้น โครงการช้อปดีมีคืน และการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มกำลังซื้อของผู้บริโภคที่อยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยว ทั้งนี้ HMPRO มียอดขายจากสาขาในพื้นที่ท่องเที่ยวสัดส่วนประมาณ 20% ของยอดขายรวม อัตรากำไรขั้นต้นยังมีทิศทางเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนสินค้า Private label ประมาณ 1% ในปี 2566

- Advertisement -