บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง:
SCG Packaging (SCGP TB) 4Q65 กำไรทรุดหนักต่ำกว่าคาดมาก คาดปี 2566 จะฟื้นตัว
ได้ประโยชน์จากจีนเปิดประเทศ คงแนะนำ ถือ
กำไร 4Q65 อ่อนแอหนัก 628 ล้านบาท ต่ำกว่าเราคาด 37% แนวโน้มปี 2566 อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์จะดีขึ้น ได้รับปัจจัยบวกจากการที่จีนเริ่มเปิดประเทศปี 2566 ตั้งงบลงทุน 1.8 หมื่นล้านบาท รองรับการเติบโต แนวโน้มระยะยาวคาดจะเติบโตต่อเนื่อง จากการขยายธุรกิจ ทั้งในและต่างประเทศ และกลยุทธ์โซลูชันบรรจุภัณฑ์ครบวงจร และบรูณาการภายในห่วงโซ่คุณค่า เราคงแนะนำ ถือ ประเมินราคาเป้าหมาย 57 บาท ด้วยวิธี DCF (8%WACC, 3.2%G)
กำไร 4Q65 ลดเหลือเพียง 628 ล้านบาท ต่ำกว่าคาด
กำไรปกติ 4Q65 ลดลงเหลือเพียง 628 ล้านบาท (-54%YoY) ต่ำกว่าเราคาดที่ประเมินจะมีกำไร 1,000 ล้านบาท ถ้าหากรวมรายการพิเศษจะมีกำไรสุทธิ 450 ล้านบาท (-79%YoY) ถูกกระทบอย่างหนักจากราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ในตลาดที่ลดลงแรงเหลือ 423 เหรียญ/ตัน (-12%QoQ, -20%YoY) แม้ว่าต้นทุนวัตถุดิบกระดาษรีไซเคิลจะลดลงแรงเช่นกันเหลือ 163 เหรียญ/ตัน (-19%QoQ, -42% YoY) แต่เนื่องจาก SCGP จะมีสต๊อกเก่าซึ่งมีราคาสูงประมาณ 2 เดือน ได้กดดันอัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 14.6% จาก 16.9% ใน 3Q65 รวมถึงความ ต้องการที่อ่อนแอลง ถูกแรงกดดันมาจากจีนมีการใช้นโยบาย Zero-Covid ยอดขายลดลงเหลือ 33,509 ล้านบาท (-12%QoQ, -5%YoY)
ตั้งเป้ายอดขายปี 2566 เท่ากับ 1.6 แสนล้านบาท โต 10%
จากการประชุมนักวิเคราะห์เมื่อวาน (24 ม.ค.) ผู้บริหารตั้งเป้าหมายยอดขายในปีนี้ 1.6 แสนล้านบาท โต 10% คาดการบริโภคในประเทศของภูมิภาคอาเซียนจะปรับตัวดีขึ้น โดยมีปัจจัยเสริมจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การค้า และการบริการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการเปิดประเทศของจีน โดยครึ่งปีแรกการฟื้นตัวจะปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และคาดจะเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนตั้งแต่ 3Q66 เป็นต้นไป เราคงประมาณการยอดขายในปีนี้ 164,449 ล้านบาท เติบโต 12.6% ในขณะที่สถานการณ์ต้นทุน คือ กระดาษรีไซเคิลดีขึ้นมีต้นทุนต่ำลง และค่าระวางก็ปรับตัวลดลง จะทำให้แนวโน้มกำไรปีนี้ฟื้นตัว เราคงประมาณการกำไร 8,040 ล้านบาท เติบโตสูง 39% จากฐานที่ต่ำในปีก่อน
ตั้งงบลงทุนปีนี้ 18,000 ล้านบาท สนับสนุนการเติบโต
ผู้บริหารตั้งงบลงทุนในปีนี้ 18,000 ล้านบาท รองรับการเติบโตในอนาคต เป็นงบ M&P (Merge & Partnership) ประมาณ 50% โดยสัดส่วนหนี้สุทธิต่อทุนต่ำเพียง 0.3 เท่า มีกระแสเงินสดในรูป EBITDA สูง 2.2 หมื่นล้านบาท ทำให้ Net Debt to EBITDA ต่ำ 2.0 เท่า ซึ่งจะใช้กระแสเงินสดจากภายในและการกู้ยืมในการลงทุน