ติดตามดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย

กรอบ SET INDEX 1670-1680

Market Outlook

การเคลื่อนแต่ละสินทรัพย์เป็นไปอย่างจำกัด โดยนักลงทุนรอดูผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ที่จะทราบผลอย่างเป็นทางการในวันพฤหัสบดีช่วงเช้า ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งความเห็นจาก CME Fed Watch ระบุว่า Fed จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% ด้วยโอกาสราว 97.6% แม้จะดูเหมือนเป็นปัจจัยบวกเนื่องจากก่อนหน้า Fed มักปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อรอบราว 0.5% หรือ 0.75% แต่ถึงกระนั้นการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% ก็เชื่อว่าเป็นที่รับรู้ของตลาดหรือ Price In ไปแล้ว ดังนั้นหากผลประชุม Fed เป็นไปตามที่ตลาดประเมินไว้ก็เชื่อว่ามีผลต่อการลงทุนจำกัด อย่างไรก็ตาม แนะติดตามถ้อยแถลงเพิ่มเติมของประธาน Fed แต่ทั้งนี้ข้อมูลในอดีตชี้ชัดว่าในช่วงที่ดอกเบี้ยเริ่มปรับลงตลาดหุ้นมักจะปรับลงไปด้วย จึงเป็นเหตุให้เรายังคงระมัดระวังต่อการลงทุนเช่นเดิม วันนี้ประเมิน SET INDEX ปรับตัวลงในกรอบ 1670-1680 แม้ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei) เช้านี้จะเคลื่อนไหวทรงตัว (+0.05%) อย่างไรก็ตาม ด้วยราคาน้ำมันดิบ BRT ที่ปรับลงประกอบกับ Dow Jones ที่ปรับลงจึงประเมิน SET INDEX เสี่ยงปรับฐาน โดยวันนี้ช่วงบ่ายติดตามการรายงานดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยในเดือนธ.ค. จากธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่ง Bloomberg Consensus คาดการณ์เกินดุล 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ พร้อมติดตามถ้อยแถลงเศรษฐกิจประจำเดือน หากประกาศเกินดุลกว่าตลาดคาดหมายไว้จะเป็นบวกกับค่าเงินบาท และเป็นบวกเชิงจิตวิทยาต่อเม็ดเงินต่างชาติ ส่วนคืนนี้ของสหรัฐฯ ติดตามความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ CB Bloomberg ประเมินที่ 109.2

ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน ยังคงคำแนะนำถือครองเงินสดสูงจากหลายความเสี่ยงที่รอในช่วงถัดไป ทั้งความเสี่ยงปรับลดประมาณการกำาไร ความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย ส่วนหุ้นแนะนำเน้น Defensive Stock อาทิ กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, INTUCH) กลุ่มโรงพยาบาล (BCH, BDMS, CHG) กลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, GPSC, GULF, RATCH) รวมไปถึงกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้ง (CK, STEC) ขณะที่กลุ่ม Domestic Play บางตัวก็น่าสนใจ อาทิ (BJC, HMPRO) กลุ่มธนาคาร (BBL, KBANK, SCB) โรงภาพยนตร์ (MAJOR) สื่อนอกบ้าน (PLANB)

หุ้นแนะนำซื้อวันนี้

RATCH ราคาพื้นฐาน 55.00 บาท

ภาพรวมระยะยาวก็ดูสดใส เพราะบริษัทมีโครงการในแผนการอยู่ 2.4GW ที่จะเดินเครื่องในปี 2023-2026 ซึ่งจะช่วยขยายกำลังการผลิตขึ้นเป็น 10.7GW ภายในปี 2026 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี 8.3% ขณะที่จะได้ประโยชน์เช่นกันจากราคาแก็สที่ปรับลดลง

PLANB ราคาพื้นฐาน 9.60 บาท

คาดว่าอานิสงส์จากการเลือกตั้งที่ใกล้เข้ามาและการบริโภคภาคเอกชนที่ฟื้นตัว หลังได้แรงหนุนจากอุปสงค์จากนักท่องเที่ยว จะช่วยกระตุ้นเม็ดเงินในสื่อนอกอาคารสถานที่ (OOH) (80% ของรายได้รวม) ในปี 2023 ได้มากขึ้นกว่าเดิม หลังเม็ดเงินแตะจุดสูงเป็นประวัติการณ์เมื่อปีก่อน ทั้งนี้ เราคาดก่าไรสุทธิไตรมาส 4/22 ที่ 205 ล้านบาท (+36% YoY, +11% QoQ)

- Advertisement -