บล.บัวหลวง:
Finance – ภาพการเติบโตของกำไรที่ดีในปี 2566 (UNDERWEIGHT)
เราแนะนำ “ซื้อ” ต่อ BAM และ JMT เนื่องจากเราคาดทั้งสองจะรายงานการเติบโตของกำไรทั้ง YoY และ QoQ ในไตรมาส 4/65 และ YoY สําหรับปี 2556 ทั้งนี้ราคาหุ้น JMT ที่ปรับตัวลงล่าสุด เรามองเป็นโอกาสในการเข้าลงทุนในราคาถูก
ไตรมาสที่ 4 เป็นช่วงพีคของการเรียกเก็บเงิน
เราคาดบริษัทบริหารสินทรัพย์ทั้งสอง (AMCs) ที่เราให้คําแนะนํา (BAM และ JMT) จะรายงานกําไรรวมไตรมาส 4/65 ที่ 1.8 พันล้านบาท เติบโต 20% YoY หนุนมาจากรายได้ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น (หนุนจากพอร์ตหนี้ที่เพิ่มขึ้น) และ แผนการเรียกเก็บเงินในเชิงรุกมากขึ้น การเรียกเก็บเงินของ BAM น่าจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง จากลูกหนี้ SME ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และเราคาด BAM จะตั้งสำรองลดลงด้วย สําหรับการเรียกเก็บเงินของ JMT ก็ดีขึ้นในไตรมาส 4/65 เนื่องจากลูกหนี้ได้รับผลประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว (โดยเฉพาะลูกหนี้ที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว) สังเกตว่าเราปรับลดประมาณการกำไรไตรมาส 4/65 ของ JMT จาก 714 ล้านบาทไปเป็น 614 ล้านบาท เนื่องจากเราปรับลดประมาณการเรียกเก็บเงินจาก 1.8 พันล้านบาทมาเหลือ 1.5 พันล้านบาท (แต่ยังคงเติบโต 10% YoY) และปรับขึ้นประมาณการต้นทุนบริการและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
ในด้านของ QoQ เราคาดกำไรรวมไตรมาส 4/65 จะเติบโต 50% หนุนจากการเข้าสู่ช่วงพีคของการเรียกเก็บเงิน โดย BAM จะรายงานกำไรที่เติบโต QoQ หนุนจากยอดขายทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ขณะที่ JMT จะรายงาน ส่วนแบ่งกำไรที่สูงขึ้นจาก JKAMC (บริษัทร่วมทุน AMC กับ KBANK) เนื่องจากปัจจุบันเราคาดพอร์ตหนี้ของ JKAMC ณ สิ้นปี 2565 ที่ 7.4 หมื่นล้านบาท (ก่อนหน้าเราคาดที่ 5 หมื่นล้านบาท) ซึ่งจะบรรเทาผลกระทบจาก การปรับลดประมาณการเรียกเก็บเงิน
ทั้งนี้ประมาณการไตรมาส 4/65 หนุนให้กำไรรวมปี 2565 อยู่ที่ 4.9 พันล้านบาท เติบโต 22% YoY
คาดกำไรปี 2566 เติบโต 16% YoY
เราคาดกลุ่ม AMC จะรายงานการเติบโตของกําไรในปี 2566 ที่ 18% YoY หนุนของ BAM ได้แก่การเรียกเก็บเงิน การปรับโครงสร้างหนี้ การเร่งชำระหนี้เสีย และการขายสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ขณะที่ปัจจัยหนุนของ JMT ได้แก่ แผนการเรียกเก็บเงินเชิงรุกและส่วนแบ่งกำไรจาก JKAMC (แม้จะมีการตั้งสำรองที่สูงขึ้น เนื่องจากเราคาด JMT จะกลับรายการตั้งสำรองไปเป็นรายได้ในไตรมาส 4/65) เราคาดกำไรของ BAM ในปี 2566 ที่ 3.4 พันล้าน บาท เติบโต 15% YoY ขณะที่เราคาดค่าไรปี 2566 ของ JMT ที่ 2.3 พันล้านบาท เติบโต 23% YoY สังเกตว่าปรับลดประมาณการกําไรของ JMT ลง 18% เนื่องจากการปรับลดประมาณการเรียกเก็บเงิน
มูลค่ายุติธรรมของกลุ่ม AMC บนสมมุติฐานกรณีฐาน
บนสมมุติฐานกรณีฐานของเรา เราแนะนำ “ซื้อ” ต่อทั้ง BAM และ JMT โดยมีราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2566 จากวิธีคิดลดกระแสเงินสดของ BAM ที่ 23.50 บาท (terminal growth ที่ 2.5% และ WACC ที่ 5.5%) แต่เราปรับลดราคาเป้าหมายของ JMT ลงจาก 84.50 บาท มาเป็น 67.50 บาท (terminal growth ที่ 2.5% และ WACC ที่ 7.2%) เนื่องจากเราปรับลดประมาณการกำไรของบริษัทลงจาก 2.8 พันล้านบาท มาเหลือ 2.3 พันล้านบาท (เติบโต 23% YoY) สำหรับปี 2566 และจาก 3.6 พันล้านบาท มาเหลือ 3 พันล้านบาทในปี 2567 (เติบโต 29% YoY)