สิวารมณ์ “SVR” ปลื้ม นักลงทุนแห่จองซื้อ IPO ล้นหลาม สะท้อนการเป็นหุ้น High Growth และ High Return จ่อลั่นระฆังเทรดตลาด เอ็ม เอ ไอ 8 ก.พ.นี้
บมจ.สิวารมณ์ เรียลเอสเตท “SVR” ปลื้มนักลงทุนสนใจแห่จองซื้อหุ้น IPO SVR ล้นหลาม สะท้อนการเป็นหุ้น High Growth และ High Return โชว์ผลงาน 3 ปีย้อนหลังโตต่อเนื่อง ขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 65 มีรายได้รวม 532.45 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิแล้ว 35.99 ล้านบาท พร้อมชูจุดแข็งเหนือคู่แข่ง 3 ข้อ “หมุนรอบเร็ว(Quick turnover), ก่อสร้างเร็ว – ขายเร็ว – ส่งมอบเร็ว, คุ้มค่า (Premium Economy)” ส่งสัญญาณเป็นหุ้นเล็กมีโอกาสเติบโตอีกมาก พร้อมลงสนามเทรดเทรดตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) 8 ก.พ. 2566
นายรณฤทธิ์ ฐิติสุริยารักษ์ กรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงินอาวุโส บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “SVR” เปิดเผยว่า บริษัทฯ ขอขอบคุณนักลงทุนที่ให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของ SVR โดยการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการขยายธุรกิจ เพื่อเพิ่มศักยภาพและโอกาสการต่อยอดการพัฒนาโครงการในอนาคต ให้ครอบคลุมเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สู่การปูทางสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯเพื่อก้าวสู่การเติบโตในระดับ High Growth ได้อย่างมั่นคงยั่งยืนในระยะยาว
การที่นักลงทุนเข้ามาแสดงความสนใจจองซื้อหุ้นเข้าพอร์ตแบบล้นหลาม สะท้อนถึงความเชื่อมั่นว่า SVR เป็นหุ้น High growth (หุ้นที่มีอัตราการเติบโตสูง) ขณะเดียวกันก็เป็นหุ้น High Return (หุ้นที่มีผลตอบแทนสูง) ด้วยเช่นกัน เห็นได้จากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ภายใต้วิกฤตเศรษฐกิจจากโควิด-19 แต่ SVR ก็สามารถสร้างปรากฏการณ์ โดยอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยสูงกว่า 30% ต่อปี ซึ่งเติบโตสวนกระแส เศรษฐกิจ ดังนั้นจึงมองว่าจากปัจจัยดังกล่าว จึงทำให้นักลงทุนชื่นชอบและเขามาลงทุนในหุ้น SVR
“ด้วยวิสัยทัศน์การขับเคลื่อนองค์กร สู่การตั้งเป้าก้าวเป็นหนึ่งในผู้นำพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ แบบ Premium Economy เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน การเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯครั้งนี้ เป็นการเปิดโอกาสในการหาแหล่งเครื่องมือทางการเงินให้กับบริษัทฯ และยังดึงกลุ่มนักลงทุนได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการต่อยอดความสำเร็จเพื่อเติบโตไปพร้อม ๆ กับSVR ”
ทั้งนี้ จุดแข็งซึ่งเป็นหัวใจหลักของ SVR อาทิ 1.พัฒนาโครงการที่หมุนรอบเร็ว หรือ Quick turnover โดยการใช้กลยุทธ์วิเคราะห์ทำเลตั้งแต่ ในการเลือกซื้อที่ดิน ประกอบกับในแต่ละโครงการมีขนาดที่ดินต่อโครงการไม่เกิน 50 ไร่ ทำให้สามารถกระจายการพัฒนาโครงการได้ในหลากหลายพื้นที่ ซึ่งมีความเหมาะสมกับความต้องการและไม่เกิดอุปทานส่วนเกิน ส่งผลให้โครงการของเราสามารถขายได้หมดภายใน 1 ถึง 3 ปี ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าวทำให้ SVR สามารถหมุนรอบในการทำการขายได้เร็ว
- ก่อสร้างเร็ว – ขายเร็ว – ส่งมอบเร็ว เนื่องจากบริษัทฯ ใช้วิธีก่อสร้างด้วยระบบ Precast (พรีคาสท์) เพื่อจะลดระยะเวลาในการก่อสร้าง ทำให้การจ่ายดอกเบี้ยกู้ก่อสร้างมีระยะเวลาสั้นลง ต้นทุนการก่อสร้างของบริษัทฯ ลดลง ส่งผลให้บริษัทมีอัตราการทำกำไรที่ดี ขณะที่ราคาวัสดุก็สามารถล็อกไว้ได้จากจำนวนการก่อสร้างที่มากขึ้น ทำให้บริษัทฯ มีอำนาจในการต่อรองราคาวัสดุกับ Suppliers (ซัพพลายเออร์)
และ 3. “คุ้มค่า” Premium Economy โดยบ้านทุกหลังที่ส่งมอบลูกค้าสัมผัสได้ถึงมีความคุ้มค่า โดยทุกโครงการของ SVR สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริง (Real Demand) ภายใต้ความคุ้มค่าน่าอยู่ เพราะนอกจากระดับราคาบ้านที่จับต้องได้ ในทุกรูปแบบราคา 1 ถึง 7 ล้านบาทแล้ว ผู้บริโภคยังได้ที่อยู่อาศัยในระดับพรีเมียม บนพื้นฐานของราคาบ้านที่ประหยัด และตอบโจทย์ทุก Lifestyle ทุก Generationมากที่สุด
“ การเติบโตแบบ High Growth ด้วยการประกอบธุรกิจที่แตกต่าง ทั้งการก่อสร้างที่เร็ว การขายที่เร็ว และการโอนที่เร็ว จะส่งผลต่องบการเงินของบริษัทฯที่สะท้อนถึงการหมุนรอบเร็ว (Quick turnover) ได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน SVR ยังเน้นสร้างบ้านแบบ Premium Economy ด้วยการให้ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความคุ้มค่าในระดับพรีเมียม ประกอบกับเป็นกลุ่มลูกค้า Real Demand ดังนั้น จึงทำให้บริษัทฯ เติบโตส่วนทิศทางเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา และบริษัทฯ ยังมั่นใจว่าในอนาคตจะสามารถสร้างการเติบโตได้ในทิศทางเดียวกับอดีตที่ผ่านมาได้ เนื่องจาก SVR เป็นหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีขนาดเล็ก จึงมีโอกาสการเติบโตได้อีกมาก และเชื่อว่าหากนักลงทุนได้ลงทุนใน SVR ก็จะได้รับผลตอบแทนที่ดี ในอนาคตด้วยเช่นกัน”
นายกิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ในฐานะเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม ( Joint Lead Underwriter ) บมจ.สิวารมณ์ เรียลเอสเตท เปิดเผยว่า หลังจากการเปิดขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 130 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 2.20 บาท ระหว่างวันที่ 31 ม.ค.- 2 ก.พ. 2566 ที่ผ่านมา ปรากฏว่าหุ้นSVR ได้รับความสนใจจากนักลงทุนซื้อหุ้นอย่างล้นหลาม จากความเชื่อมั่นในการเติบโตของธุรกิจ พร้อมทั้งวิสัยทัศน์การบริหารธุรกิจภายใต้กลยุทธ์การบริหารจัดการต้นทุน การสร้างบ้านที่มีความคุ้มค่าให้กับลูกค้า และความ สามารถรับรู้รายได้จากการโอนได้อย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน สำหรับเม็ดเงินที่ SVR ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ คิดเป็นจำนวน 286 ล้านบาท บริษัทฯ จะนำไปลงทุนเพื่อต่อยอดการพัฒนาโครงการในอนาคต ให้ครอบคลุมเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อขับเคลื่อนทุกโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาในขณะนี้ สู่การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทฯ ภายใต้การวางยุทธ์ศาสตร์ทางธุรกิจ ให้สอดรับกับแนวคิด “Best Smart Living” 1.) Smart Location ทำเลที่ตั้งต้องเดินทางสะดวก ใกล้แหล่งสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ และใกล้รถไฟฟ้า 2.) Smart Space การออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่นำเอาความต้องการของผู้อยู่อาศัยมาเป็นที่ตั้ง เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยได้ใช้พื้นที่ภายในบ้านได้อย่างคุ้มค่าและลงตัว 3.) Smart Value ราคาบ้านที่ลูกบ้านจ่ายไปต้องได้รับความคุ้มค่าอย่างสูงสุด และ 4.) Smart Home นำนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้ามาตอบโจทย์ Lifestyle เพื่อการใช้ชีวิตของลูกบ้านให้สะดวกสบาย จากปัจจัยดังกล่าวจึง ส่งผลให้กลุ่มนักลงทุนให้ความเชื่อมั่นในการเข้ามาลงทุนในหุ้น SVR จนสะท้อนถึงความต้องการที่ล้นหลาม โดย SVR จะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2566 นี้
ขณะที่ นายธีรศักดิ์ ทวีปิยมาภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมในฐานะเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม (Joint Lead Underwriter) ว่า หลังจากนี้เชื่อว่าหุ้น SVR จะเป็นที่จับตาของกลุ่มนักลงทุน ในฐานะหุ้น อสังหาริมทรัพย์IPO น้องใหม่ไฟแรง พร้อมทั้งมองว่าภายหลังการเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้ จะเป็นการเพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งทางการเงิน และความน่าเชื่อถือให้กับบริษัทฯ มากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีนโยบายบริหารจัดการอัตราหนี้สินต่อทุน ภายหลัง IPO ให้อยู่ในระดับไม่เกิน 2 : 1 เท่า หนุนธุรกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่งให้กับ SVR ประกอบกับจุดขายภายใต้แนวคิด Best Smart Living ซึ่งเป็นจุดแข็งทั้งแบบบ้าน ทำเลที่มีศักยภาพการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ในราคาขายที่คุ้มค่า โดยนับตั้งแต่ปี 2019 – ปัจจุบัน มีการพัฒนาโครงการแล้ว 9 โครงการ และมีความหลากหลายในทุกพื้นที่ อาทิ จังหวัดสมุทรปราการ บริเวณพื้นที่บางปู, ทำเลนิคมอุตสาหกรรม อย่าง ชลบุรีและระยอง รวมถึงอยู่ระหว่างการขยายไปในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลมากขึ้น ดังนั้นในอนาคตมองว่า SVR มีศักยภาพการเติบโตสูง จึงมั่นใจว่าหุ้น SVR จะไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวังอย่างแน่นอน
ด้านนายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด กล่าว ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาทางการเงินว่า ด้วยระดับราคาที่เสนอขาย 2.20 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) ที่ 13.93 เท่า เทียบจากผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่ 1 ต.ค. 64 – 30 ก.ย. 65 จากการมีโครงการที่รับรู้รายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุก ๆ ปี ประกอบกับปัจจัยพื้นฐานของบริษัทฯสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจของ SVR ดังนั้นจึงมองว่าการที่หุ้น SVR กระแสตอบรับที่ดีจากนักลงทุนถือว่าเป็นการส่งสัญญาณที่ดีต่อบริษัทฯ ที่ทำให้ขยายฐานกลุ่มนักลงทุนใหม่ ๆ เข้ามาลงทุนในหุ้น SVRเพิ่มขึ้นในอนาคต ที่สำคัญจากนโยบายในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการนั้น ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ยังไม่มีการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น ดังนั้นปัจจัยดังกล่าวอาจจะเป็นข่าวดีสำหรับนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในอนาคต อย่างไรก็ตาม ด้วยปัจจัยฟื้นฐานที่ดี ประกอบกับดีมานด์ความต้องการที่อยู่อาศัยแนวราบที่ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้น ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโต SVR ในอนาคต ที่จะเติบโตสู่ระดับ High Growth อย่างต่อเนื่อง