บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Action BUY (Upgrade)
TP upside (downside) +21.4%
Close Feb 2, 2023 Price (THB) 86.50
12M Target (THB) 105.00
Previous Target (THB) 105.00
What’s new?
- คาดกำไรปกติที่ 1,859 ล้านบาท เติบโต YoY และ QoQ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการส่งมอบรถ EV Bus ราว 700 คัน สูงขึ้นจาก 35 คันใน 4Q64 และ 250 คันใน 3Q65 รวมถึงการเริ่มส่งมอบ EV Truck ราว 100 คัน (เปิดตัวใน 4Q65)
- คาด EA สามารถส่งมอบรถได้อย่างต่อเนื่อง และทำให้ปริมาณการส่งมอบปี 2566 เพิ่มไปอยู่ในระดับ 2,000 คัน ได้ หลังการผลิตมีประสิทธิภาพสูงขึ้น และมี Backlogs จากกลุ่ม TSB อยู่แล้วราว 1,500 – 2,000 คัน
Our view
- คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 105.00 บาท/หุ้น โดยราคาหุ้นปรับตัวลงมาราว -10% YTD จากความ กังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ และปริมาณการส่งมอบรถ EV Bus ที่มีโอกาสต่ำกว่า Guidance เดิมของบริษัทฯ ทําให้ราคาหุ้นกลับมามี Upside อีกครั้ง จึงปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ”
- ราคาเหมาะสมของเรามี Upside จาก 1) การได้รับกำลังผลิตใหม่จากการเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงาน หมุนเวียนรอบใหม่ของ กกพ. และ 2) การเปิดประมูลรถ EV Bus ของ ขสมก.
ENERGY ABSOLUTE เริ่มเห็นแรงหนุนจากธุรกิจ EV
กําไรปกติ 4Q65 ได้แรงหนุนการเติบโตของธุรกิจ EV
คาดกำไรปกติ 4Q65 ที่ 1,859 ล้านบาท (+79% QoQ, +13% YoY) เป็นจุดสูงสุดของปี โดยกำไรปกติ สามารถเติบโต YoY โดยมีแรงหนุนจาก 1) บริษัทฯ มีการส่งมอบรถ EV Bus ราว 700 คัน ในช่วง 4Q65 เทียบกับการส่งมอบรถ EV Bus จำนวน 35 คันใน 4Q64 และ 2) คาดบริษัทฯเริ่มส่งมอบรถ EV Truck ที่มีการเปิดตัวในเดือน ต.ค. 2565 ราว 100 คัน ขณะที่การฟื้นตัวเด่น QoQ เป็นเพราะ 1) จำนวนการส่งมอบรถ EV Bus ที่เร่งตัวขึ้นจาก 250 คันใน 3Q65 (+180% QoQ) โดยคาดรถ EV Bus ที่ส่งมอบราว 50% เป็นรถขนาด 11 เมตร ซึ่งมีราคาขายอยู่ในระดับ 7-10 ล้านบาท/คัน สูงกว่าราคาขายเฉลี่ยของรถขนาด 7 เมตร ที่มีการส่งมอบในช่วง 3Q65 ที่ราว 5 ล้านบาท/คัน (หนุนการเติบโตของรายได้ QoQ) และ 2) คาดอัตรากำไรขั้นต้นที่ 28.0% จาก 27.6% ใน 3Q65 เนื่องจากการผลิตและส่งมอบรถ EV Bus ที่สูงขึ้น QoQ จะส่งผลให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) หากกำไรปกติ 4Q65 ออกมาใกล้เคียงคาด จะส่งผลให้ประมาณการปี 2565 ของเรามี Downside ราว 8%
คาดการส่งมอบรถ EV Bus จะเร่งตัวขึ้นอีกในปี 2566
คาด EA จะสามารถส่งมอบรถได้อย่างต่อเนื่องในปี 2566 และทำให้ปริมาณการส่งมอบรถ EV Bus ทั้งปี เพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 2,000 คัน (จากราว 950 คันในปี 2565) ได้ไม่ยาก หลังการผลิตรถทำได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยบริษัทฯมี Backlogs จากกลุ่มไทยสมายล์บัส (TSB) อยู่แล้วราว 1,500-2,000 คัน (คาดทยอยส่งมอบในช่วง 1H66) นอกจากนี้ธุรกิจ EV ยังได้แรงหนุนจากการที่ภาครัฐเริ่มประกาศนโยบายที่สนับสนุนการใช้งาน EV ในเชิงพาณิชยมากขึ้น เช่น การที่ ครม. เห็นชอบให้เปลี่ยนรถประจำทางที่ใช้น้ำมันในพื้นที่ กทม. ให้เป็นรถ EV ทั้งหมด เป็นต้น (หนุนความต้องการใช้รถ EV ใน ประเทศ) สำหรับตลาด EV ในต่างประเทศ EA ได้มีการร่วมมือกับบริษัท Computer Forms Malaysia Berhad (CFM) เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดและ EV ในมาเลเซีย โดยในระยะแรกของการร่วมมือดังกล่าวจะเป็นการส่งออกรถ EV Bus จากไทยไปขายในมาเลเซีย (คาดช่วยหนุนยอดขายรถ EV Bus ได้ราว 200-300 คัน/ปี) และจะมีการพิจารณาเพื่อตั้งโรงงานผลิต EV ในมาเลเซียในระยะถัดไป
หุ้นกลับมามี Upside อีกครั้ง ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น ซื้อ
คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 105.00 บาท/หุ้น (อิง SOTP) ราคาหุ้นปรับตัวลงมาราว -10% YTD จากความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย และปริมาณการส่งมอบรถ EV Bus ที่มีโอกาสต่ำกว่า Guidance ที่บริษัทฯ เคยให้ไว้ในช่วง 3Q65 ที่ราว 1,200 คัน ทำให้ราคาหุ้นกลับมามี Upside อีกครั้ง นอกจากนี้ราคาเหมาะสมของเรายังมี Upside จาก 1) การได้รับกำลังผลิตใหม่จากการเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนรอบใหม่ของ กกพ. (คาดรู้ผลวันที่ 22 มี.ค. 2566) และ 2) การเปิดประมูลรถ EV Bus ของ ขสมก. ราว 1,000-2,000 คัน (คาดมีความชัดเจนภายในปี 2566) จึงปรับคำแนะนำขึ้นจาก “TRADING” เป็น “ซื้อ”