3 โบรกเกอร์ (บล. โกลเบล็ก – บล.พาย – บล.ฟินันเซีย ไซรัส ) ประสานเสียง ประเมินราคาเป้าหมายหุ้นป้ายแดง สิวารมณ์ เรียลเอสเตท (“SVR”) ในช่วงระดับราคา 3 – 3.10 บาทต่อหุ้น ชี้ความต้องการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯและปริมณฑลฟื้นตัว จากกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ตามภาพรวมเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น พร้อม ระบุจากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลพฤติกรรมการเลือกที่อยู่อาศัยเปลี่ยน ส่งผล SVR ได้รับผลบวกความต้องการบ้านแนวราบที่ขยายตัวตามเทรนด์อุตสาหกรรม
บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ประเมินทิศทางการเติบโตทางธุรกิจ ของบริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “SVR” ที่ระดับราคา 3.07 บาทต่อหุ้น โดยใช้ Prospective PER ที่ระดับ 9 เท่า ซึ่งต่ำกว่า PER เฉลี่ยของหุ้นกลุ่มที่อยู่อาศัยที่ระดับ 18 เท่า โดยคาดกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2566 ที่ประมาณ 0.341 บาทต่อหุ้น คำนวณเป็นราคาเหมาะสม ซึ่งเชื่อว่าความต้องการที่อยู่อาศัยในช่วง 3 ปีข้างหน้าจะยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ความต้องการที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีแนวโน้มฟื้นตัวจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ปรับตัวดีขึ้น จากกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อในตลาดระดับกลางถึงบน และการลงทุนในโครงการเมกะโปรเจ็กต์ โดยมีปัจจัยกระตุ้นจากพฤติกรรมการเลือกที่อยู่อาศัยอาจเปลี่ยนไปหลังการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ทำให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยในแนวราบมากกว่าคอนโดมิเนียม
ฝ่ายวิเคราะห์ ได้คาดรายได้จากการขายปี 2565 ที่ 699 ล้านบาท เติบโต 26% และในปี 2566 จะมีรายได้จากการขายที่ 1,245 ล้านบาท เติบโต 78% พร้อมคาดอัตรากำไรขั้นต้นจะปรับดีขึ้นสู่ 34.6% ในปี 2565-2566 ปรับดีขึ้น จากระดับ 30.8% ในปี 2564 ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิในปี 2565 อยู่ที่ 59 ล้านบาท และในปี 2566 จะมีกำไรสุทธิที่ 175 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ระหว่างปี 2563-2566 เท่ากับ 42% ต่อปี โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 8.4% ในปี 2565 และ 14.1% ในปี 2566
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ประเมินมูลค่าเหมาะสมของ “SVR” ที่ระดับราคา 3.10 บาทต่อหุ้น ด้วยวิธี P/E multiple โดยใช้กำไรต่อหุ้นปี 2566 ที่ 0.36 บาท เพื่อสะท้อนรายได้จากการโอนโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น จากโครงการที่มีอยู่เดิมและการเปิดโครงการใหม่ในอนาคต และอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น จากการเปิดโครงการแนวราบใหม่ที่มีราคาสูงขึ้น โดยกำหนดเป้าหมาย P/E ปี 2566 ที่ระดับ 8.5 เท่า ซึ่งเทียบเคียงค่าเฉลี่ยการซื้อขายของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ สำหรับ “SVR” เป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทแนวราบ ในจังหวัดสมุทรปราการ บริเวณพื้นที่บางปู และเทพารักษ์ ทำเลที่มีการขยายตัวของนิคมอุดสาหกรรม เช่น นิคมบางปู และนิคมพัฒนา-จังหวัดระยอง และพื้นที่อื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการพัฒนาเพื่อกระจายความเสี่ยงในทำเลที่แตกต่างกัน ได้แก่ อำเภอ ศรีราชา-จังหวัดชลบุรี และ อำเภอไทรน้อย-จังหวัดนนทบุรี โดยปัจจุบัน“SVR” มีจำนวนโครงการทั้งหมด 9 โดยเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ SVR จะนำไปพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ตามแผนธุรกิจและแผนการตลาด ที่วางไว้เพื่อให้ครอบคลุมเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล
ฝ่ายวิเคราะห์ ได้คาดการณ์กำไรสุทธิของ “SVR” เติบโตเฉลี่ยปีละ 68% ในปี 2565 -2567 โดยคาดกำไรสุทธิ ในปี 2565 ที่ 69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% เป็นผลจากรายได้ที่เติบโต 39% อยู่ที่ 778 ล้านบาท และคาดว่าผลประกอบการจะเติบโต 167% มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 185 ล้านบาท ในปี 2566 และเติบโต 31% อยู่ที่ 243 ล้านบาท ในปี 2567 ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจะเติบโตอยู่ที่ 31.2% ในปี 2565, ขณะที่ในปี 2566 จะอยู่ที่ 34.0% และในปี 2567 จะอยู่ที่ 34.5% จากปี2564 ที่ 30.4% จากการโอนโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สูงขึ้น ตามการเปิดโครงการใหม่ที่มีราคาขายสูงขึ้น
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ประเมินมูลค่าเหมาะสมของ “SVR” ที่ระดับราคา 3 บาทต่อหุ้น ด้วยวิธี Relative PE ที่ 8.0 เท่า ใกล้เคียงกับ Forward PE2023 ของบริษัทที่ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 12 รายหลัก ทั้งนี้ “SVR” เป็นหุ้นอสังหาริมทรัพย์แนวราบน้องใหม่ ที่เน้นจุดขายภายใต้แนวคิด Best Smart Living โดย“SVR”มีจุดแข็งทั้งแบบบ้าน ทำเลที่มีศักยภาพการจัดสรรพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ในราคาขายที่คุ้มค่า นอกจากนี้ ได้ประเมินว่า“SVR”มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นก้าวกระโดด โดยปี2566 มีกำไรสุทธิ 186 ล้านบาท เติบโต 241% และในปี2567 กำไรสุทธิ 189 ล้านบาท เติบโต 2% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ทั้งนี้เป็นผลมาจากการได้รับแรงหนุนจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่เร่งขึ้น บนสมมติฐานที่บริษัทจะมีแผนเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการต่อปี รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้น ที่คาดขยับขึ้นจาก Project Mixed โครงการใหม่ ที่เป็น Segment บน และ SG&A ต่อรายได้จะลดลงจาก Economy of scale ด้วย ขณะที่กำไรสุทธิปี 2565 ประเมินไว้ที่ 54 ล้านบาท เติบโต 6% จากปีก่อน