บล.ทรีนีตี้:
เงินติดล้อ – TIDLOR
ซื้อ: ราคาเป้าหมาย 36 บาท, Upside/Downside +19%, Median Consensus 34 บาท
คาดกำไร 4Q65 โตจากสินเชื่อแต่ถูกกดดันจากสำรองบ้าง
- ยังคงแนะนำ “ซื้อ” โดยใช้ราคาเป้าหมายปี 66 ที่ 36 บาท (อิงวิธี Gordon Growth Model ด้วย PBV ที่ 3 เท่า)
- คาด TIDLOR ประกาศกำไร 4Q65 ที่ 925 ล้านบาท +16.4% YoY, +2.7% QoQ จากการเติบโตของพอร์ตสินเชื่อที่มาจากบัตรติดล้อและรถจักรยานยนต์ ในขณะที่บริษัทยังสามารถบริหาร Credit cost และ cost to income ได้ดี คาด NPL เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีนัยยะสำคัญ เนื่องจากพอร์ตสินเชื่อของบริษัทส่วนใหญ่เป็นจำนำ ทะเบียน และมีพอร์ตเช่าซื้อรถบรรทุกในสัดส่วนที่ต่ำ (secured loan) ส่งผลให้ NPL เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมอย่าง MTC และ SAWAD
- คาดกำไรปี 2566 โต 5% – 10% จากพอร์ตสินเชื่อที่โต 15% – 20% แต่กำไรถูกกดดันจาก credit cost ที่คาดว่าจะปรับตัวเข้าใกล้ 2.2% จาก 1.85% เนื่องจาก NPL และบริษัทต้องการรักษา coverage ratio ให้อยู่ในระดับ 200% – 250%
Earning Preview
คาด TIDLOR ประกาศกำไร 4Q65 ที่ 925 ล้านบาท +16.4% YoY, +2.7% QoQ
1) คาดพอร์ตสินเชื่อ อยู่ที่ 76,19 ล้านบาท +29.5% YoY +4.5% จากบัตรติดล้อและพอร์ตรถจักรยานยนต์
2) คาดรายได้อื่นๆ อยู่ที่ 925 ล้านบาท +32.5% YoY +38.0% QoQ โดยหลักมาจากค่าธรรมเนียมธุรกิจประกันที่โตได้ดี
3) คาด cost to income อยู่ที่ 57.1% -10.8% YoY + 4.2%QoQ ลดลง YoY เพราะปีนี้ไม่ได้มีการจัดโปรโมชั่นเพิ่มขึ้น QoQ เพราะมีค่าใช้จ่ายด้านพนักงานสูงขึ้นและมีค่าใช้จ่ายด้ายการตลาดเพิ่มขึ้นบางส่วน
4) คาด NPL อยู่ที่ 1.61% จาก 1.20% ใน 4Q64 และ 1.52% ใน 3Q65 ซึ่งยังถือว่ายังอยู่ในระดับที่ต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม ด้าน credit cost อยู่ที่ 2.16% (อยู่ที่ 0.7% ใน 4Q64 และ 1.82% ใน 3Q65)
2566 Outlook
คาดกำไรปี 2566 โต 5% – 10% จากพอร์ตสินเชื่อที่โต 15% – 20% แต่กำไรถูกกดดันจาก credit cost ที่คาดว่าจะปรับตัวเข้าใกล้ 2.2% จาก 1.85% เนื่องจากบริษัทต้องการรักษา coverage ratio ให้อยู่ในระดับ 200% – 250% ในขณะที่ธุรกิจประกันยังสามารถโตได้ในระดับ 20% และคาดว่า NPL ของบริษัทจะค่อยๆ เพิ่ม และ peak ในไตรมาส 2 ปี 2566 กอนปรับตัวลดลง
ความเสี่ยง ความเสี่ยงจากหนี้เสีย, cost of fund ที่เพิ่มขึ้นจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และการเพิ่มขึ้นของ credit cost จากการตั้งสำรอง