บล.เอเซีย พลัส:

4Q65 คาดกําไรขึ้นทํา NEW HIGH อีกครั้ง

คาดกําไรสุทธิงวด 4Q65 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมีนัย 404.6%qoq มาอยู่ราว 5.5 พันล้านบาท ขึ้นทําระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาสเป็นประวัติการณ์ หนุนจากทั้งรายการพิเศษที่สุทธิแล้วพลิกกลับมาเป็นกําไร 1.9 พันล้านบาท จากขาดทุน 1.1 พันล้านบาทใน 3Q65 และกําไรปกติที่คาดเพิ่มขึ้น 63.4%qoq มาอยู่ที่ 3.5 พันล้านบาท จากการรับรู้โครงการ GSRC phase 4 และการเข้าสู่ฤดูกาลลมทั้งในไทยและ เยอรมนี ช่วงสั้นคาดกําไรปกติ 1Q66 ยังทรงตัวในระดับสูงใกล้เคียงเดิม QoQ จากโครงการ Jackson ที่คาดจะเข้ามาชดเชย BRK2 ที่เหลือสัดส่วนถือหุ้นเพียง 25%

คงประมาณการ และ FV ปี 2566 ที่ 65 บาท/หุ้น ภาพกําไรยังเห็นการเติบโตขึ้นอย่างชัดเจนในระยะยาว อีกทั้งยังมี upside ส่วนเพิ่มจากโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศลาวที่ยังไม่ถูกรวมในประมาณการอีก 2-3 โครงการ และโอกาสเกิด synergy ใหม่ๆ ในอนาคตจากการเข้าลงทุนในธุรกิจโครงสร้างพื้นฐาน และธุรกิจ digital ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside กว่า 20% แนะนําให้หาจังหวะทยอยสะสมลงทุน

4Q65 คาดทั้งกำไรสุทธิ และกำไรปกติขึ้นทำ NEW HIGH อีกครั้ง

ฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิงวด 4Q65 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นมีนัยฯ 404.6%qoq มาอยู่ราว 5.5 พันล้านบาท ขึ้นทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาสเป็นประวัติการณ์ หนุนหลักจากรายการพิเศษ ที่สุทธิแล้วคาดจะบันทึกกลับเป็นกำไร 1.9 พันล้านบาท ประกอบด้วย 1) กำไรจากการขายหุ้น 50% ในโรงไฟฟ้า BRK2 320.2 ล้านบาท (ขายหุ้นแล้วเสร็จ 22 ธ.ค. 2565) และ 2) กำไร Fx และตราสารอนุพันธ์ของทั้งบริษัทใหญ่และบริษัทร่วมรวม 1.6 พันล้านบาท เทียบกับงวด 3Q65 ที่บันทึกเป็นผลขาดทุนจาก Fx และตราสารอนุพันธ์ของบริษัทใหญ่และบริษัทร่วมรวม 1.1 พันล้านบาท

อีกทั้ง คาดกำไรจากการดำเนินงานปกติจะปรับตัวขึ้น 63.4%qoq มาอยู่ราว 3.5 พันล้านบาท จากรายได้ขายไฟฟ้าที่คาดจะเติบโต 10.1%qoq มาอยู่ที่ 2.3 ตามการรับรู้โครงการ GSRC phase 4 กำลังการผลิต 463.8 MWe (COD 3 ต.ค. 2565) เข้ามาในไตรมาสแรก และคาดรายได้ขายไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้า BRK2 ประเทศเยอรมัน กำลังการผลิต 232.5 MWe ปรับตัวสูงขึ้นตามการเข้าสู่ช่วง high season ของโรงไฟฟ้าพลังงานลม ประกอบกับแรงหนุนบางส่วนจากการปรับขึ้นค่า Ft รอบ ก.ย.-ธ.ค. 2565 อีกทั้งคาดต้นทุนก๊าซฯ เฉลี่ยในกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จะปรับตัวลดลง 15.5%qoq มาอยู่ราว 489.1 บาท/ล้านบีทียู หนุนให้ภาพรวมกำไรขั้นต้นคาดจะเพิ่มขึ้น 21.9%qoq มาอยู่ที่ 5.5 พันล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) คาดจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 22.2% จาก 19.9% ในงวด 3Q65

นอกจากนี้คาดส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมที่ไม่รวมผลกระทบ Fx และตราสารอนุพันธ์จะปรับตัวเพิ่มขึ้น 40.2%qoq มาอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท โดยหลักเป็นผลมาจากผลประกอบการของกลุ่มโรงไฟฟ้า GJP ที่คาดอัตรากำไรขั้นต้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP จะฟื้นตัว จากการรับรู้การปรับขึ้นค่า Ft ได้เต็มไตรมาส และต้นทุนก๊าซฯที่ลดลง QoQ รวมถึงจากส่วนแบ่งกำไรจาก GULFGUNKUL ที่คาดจะเพิ่มขึ้นตามการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลลม

แต่อย่างไรก็ตาม คาดยังมีแรงกดดันจากต้นทุนทางการเงินที่คาดจะเพิ่มขึ้น 8.9%qoq มาอยู่ราว 2.2 พันล้านบาท จากหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นตามการออกหุ้นกู้ของทางบริษัท และค่าใช้จ่าย SG&A ที่คาดจะเพิ่มขึ้น 38.8%qoq มาอยู่ที่ 892.4 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายพนักงานที่เพิ่มขึ้นเป็นปกติในช่วงปลายปี

โดยรวมแล้วคาดกำไรปกติปี 2565 อยู่ที่ 1.2 หมื่นล้านบาท เติบโต 36.7%yoy และสอดคล้องกับที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้

คงประมาณการ…1Q66 คาดกำไรปกติยังทรงตัวได้ในระดับสูง QoQ

เบื้องต้น ฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรปกติปี 2566 ไว้ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท เติบโต 41.5%qoq หนุนหลักจากการรับรู้โครงการ GSRC phase 3-4 กำลังการผลิตรวม 1.3 พัน MWe ได้เต็มที่ทั้งปี และโครงการGPD phase 1-2 และโครงการ Jackson ประเทศ สหรัฐอเมริกา กำลังการผลิตรวม 1.9 พัน MWe ที่จะทยอย COD และรับรู้เข้ามาในปี 2566 นอกจากนี้คาดกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ที่มีสัดส่วนขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรม (ราว 10-15% ของรายได้จากการขายไฟฟ้าโดยรวม) จะมีอัตรากำไรขั้นต้นที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น YoY จากต้นทุนก๊าซฯ ที่คาดจะลดลงตามทิศทางราคาน้ำมันในระยะยาว

ช่วงสั้น คาดกำไรปกติในงวด 1Q66 ยังทรงตัวได้ในระดับสูงใกล้เคียงกับงวด 4Q65 โดยคาดจะมีแรงหนุนจากการรับรู้โครงการ Jackson ประเทศสหรัฐอเมริกา 588 MWe ที่คาดจะดำเนินการซื้อกิจการแล้วเสร็จภายใน 1Q66 และอานิสงค์จากการปรับขึ้นค่า Ft ขึ้นอีก 61.5 สตางค์/หน่วย ในช่วง ม.ค.-เม.ย. 2566 อย่างไรก็ตาม คาดจะมีแรงกดดันจากการรับรู้สัดส่วนการถือหุ้นในโครงการ BRK2 ลดลงเหลือเพียง 25% จากเดิม 50% และส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วม GULF GUNKUL ที่คาดผลประกอบการจะเริ่มอ่อนตัวลง QoQ หลังจากผ่านพ้นช่วง High season ของฤดูกาลลมของไทยมาแล้วใน 4Q65

นวทางประกอบธุรกิจตามหลักความยั่งยืน (ESG) ของ GULF:

ด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) :

บริษัทฯมีการประเมินโอกาสและความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ทั้งในแง่ความเสี่ยงทางกายภาพ (physical risk) และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน หรือการเปลี่ยนแปลงนโยบาย (transition risk) อีกทั้ง มีการประเมินความเสี่ยงเกี่ยวกับความเพียงพอของน้ำ และสภาวะการขาดแคลนน้ำ ซึ่งอาจมีผลกระทบด้านการปฏิบัติการ และอาจมีผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียภายนอกองค์กร นอกจากนี้ยังมีการประเมินความเสี่ยงจากผลกระทบทางกายภาพ เช่น การเกิดพายุหรืออุทกภัยที่อาจมีผลกระทบด้านการปฏิบัติการ และมีการติดตามปัจจัยต่างๆ ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศท้องถิ่น เช่น ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับความหลากหลายทางชีวภาพ คุณภาพอากาศและน้ำ และความปลอดภัยของกระบวนการผลิต เป็นต้น โดย GULF มีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ก่อนจะเริ่มก่อสร้างโครงการใดๆ มีการตรวจสอบการปล่อยมลสารทางอากาศและคุณภาพของน้ำ และจัดทําการประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (carbon footprint) และการใช้น้ำ (water footprint) ทุกปี

ด้านสังคม (Social) :

ให้ความสำคัญกับการติดตามและบริหารจัดการความเสี่ยงที่อาจส่งผลถึงสุขอนามัย และความปลอดภัยของพนักงาน ผู้รับเหมา และชุมชนท้องถิ่น โดยมีมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดและนำเครื่องมือดิจิทัลมาใช้ในทุกโครงการ รวมถึงจัดอบรมด้านความปลอดภัยให้แก่พนักงาน และผู้รับเหมาอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ GULF ยังได้เปิดรับฟังความเห็นและความพึงพอใจของกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียเป็นประจำเพื่อมุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคม

ธรรมาภิบาล (Governance):

ยึดหลักธรรมาภิบาลในการประกอบธุรกิจ ซึ่งในปี 2564 บริษัทฯ ได้ยกระดับการประเมินความเสี่ยงด้านการกำกับดูแลกิจการ และการควบคุมภายใน ด้วยการพัฒนากระบวนการประเมินความเสี่ยงด้านการทุจริตคอร์รัปชันตามหลักเกณฑ์ของแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC: Collective Action Against Corruption) อีกทั้ง บริษัทฯ ยังจัดให้พนักงานทุกคนเข้ารับการอบรม และผ่านการทดสอบเรื่องจรรยาบรรณทุกปี และจัดให้มีการตรวจสอบภายในโดยหน่วยงานตรวจสอบภายในอิสระตามเกณฑ์กฎหมายและมาตรฐานสากล นอกจากนี้ GULF ได้ประกาศเจตนารมณ์เข้าร่วม CAC ในปี 2563 ได้มีการพัฒนาหลักสูตรการอบรมเรื่องการทุจริตคอร์รัปชันเพิ่มเติม และปรับปรุงนโยบายการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน รวมถึงแต่งตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน โดยคาดว่าจะได้รับการรับรองเป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทยอย่างเป็นทางการภายในปี 2565

ความเสี่ยง 

  1. โครงการโรงไฟฟ้าที่กำลังก่อสร้างอาจไม่สามารถผลิตเชิงพาณิชย์ได้ตามแผน (Constructionrisk)
  2. การหยุดซ่อมฉุกเฉินของโรงไฟฟ้า (Unplanned shutdown)
  3. ความเสี่ยงจากความผันผวนของ Fx และ อัตราดอกเบี้ย เพราะ GULF กู้เงินลงทุนโรงไฟฟ้าบางส่วนด้วยสกุลเงินต่างประเทศ
- Advertisement -