บล.บัวหลวง:

Global Green Chemicals (GGC TB/GGC.BK)

GGC – ผลขาดทุนไตรมาส 4/65 ต่ำกว่าคาด; แนวโน้มไตรมาส 1/66 ไม่น่าตื่นเต้น

ขาดทุนต่ำกว่าคาด

GGC รายงานขาดทุนสุทธิไตรมาส 4/65 ที่ 25 ล้านบาท ขาดทุนลดลง YoY แต่พลิกกลับจากรายงานกำไรสุทธิในไตรมาส 3/65 หากไม่รวมรายการพิเศษ ซึ่งประกอบด้วยขาดทุนจากสินค้าคงคลัง 65 ล้านบาท, กําไรจากตราสาร อนุพันธ์ 49 ล้านบาท, และขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 73 ล้านบาท กำไรหลักจะอยู่ที่ 64 ล้านบาท ลดลง 47% YoY และ 88% QoQ ซึ่งขาดทุนสุทธิต่ำกว่าคาดการณ์ของเราที่ 50 ล้านบาท (และคาดการณ์ของตลาดที่ 37 ล้าน บาท) เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารและขาดทุนพิเศษที่ค่ากว่าคาด GGC ประกาศจ่ายเงินปันผลครึ่งหลังของปี 2565 ที่ 0.25 บาทต่อหุ้น ซึ่งคิดเป็นอัตราตอบแทนจากเงินปันผลขั้นต้นที่ 1.7% (จะขึ้นเครื่องหมาย XD ใน วันที่ 23 ก.พ. และจ่ายปันผลในวันที่ 20 เม.ย.)

ประเด็นสําคัญจากผลประกอบการ

ปัจจัยหลักที่กดดันกําไรหลักให้ปรับตัวลดลง ได้แก่ 1) ค่าไรจากธุรกิจเมทิลเอสเตอร์ (ME; B100) ที่ลดลง, 2) กำไรจากธุรกิจ Fatty Alcohols (FA) ที่ลดลง, 3) ค่าใช้จ่ายในการและบริหารที่เพิ่มขึ้น โดยอัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ 5.7% จาก 4.0% ในไตรมาส 4/64 และ 4.2% ในไตรมาส 3/65, และ 4) ส่วนแบ่งขาดทุนจากบริษัทร่วม (YoY)

EBITDA margin สำหรับธุรกิจ ME อยู่ที่แดนติดลบ 7.3% พลิกกลับจาก 5.0% ในไตรมาส 4/64 และ 0.4% ในไตรมาส 3/65 (ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ ME ที่ลดลง และราคากลีเซอรีน (ผลิตภัณฑ์พลอยได้) ที่ลดลง) ในขณะที่ปริมาณขาย B100 อยู่ที่ 76,125 ตัน ลดลง 6% YoY (เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับสัดส่วนการผสม B100 ในผลิตภัณฑ์ไบโอดีเซล) แต่เพิ่มขึ้น 3% QoQ ส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ของธุรกิจ FA อยู่ที่ 595 เหรียญสหรัฐ/ต้น เพิ่มขึ้น 141% YoY (ราคาผลิตภัณฑ์แข็งแกร่ง ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบ CPKO ปรับตัวลดลงอย่างมาก) แต่ลดลง 7% QoQ (อุปสงค์ที่ลดลง) โดยปริมาณขายของธุรกิจ FA อยู่ที่ 21,416 ต้น ลดลง 2% YoY และ 23% QoQ (อุปสงค์ที่ลดลงและการปิดซ่อมบำรุงโรงงาน)

แนวโน้ม

กําไรหลักของ GGC ในไตรมาส 1/66 มีแนวโน้มที่จะลดลง YoY ซึ่งถูกกดดันโดยกำาไรจากธุรกิจ ME และธุรกิจ FA ที่ลดลง และราคากลีเซอรีนที่ลดลง อย่างไรก็ตาม กำไรหลักมีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อย QoQ หนุนโดยกำไร จากธุรกิจ ME ที่เพิ่มขึ้นและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลง กำไรของธุรกิจ ME มีแนวโน้มจะอ่อนตัวลง YoY เนื่องจากอัตราค่าไรที่ลดลง (การแข่งขันที่สูง) แต่ปรับตัวดีขึ้น QoQ เนื่องจากอัตรากำไรที่ขยายตัว ในขณะที่ เราคาดว่ากําไรของธุรกิจ FA มีแนวโน้มอ่อนตัว YoY และ QoQ เนื่องจากอัตรากำไรที่ลดลง

สิ่งที่เปลี่ยนแปลง

เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2566 ลดลง 4% มาอยู่ที่ 787 ล้านบาท และปรับประมาณการกำไรระยะยาวลดลง 2% โดยเฉลี่ยเพื่อสะท้อนดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้น ดังนั้นราคาเป้าหมายของเรา ณ สิ้นปี 2565 คิดด้วยวิธีคิดลดกระแส เงินสดอยู่ที่ 14.80 บาท (จาก 15.70 บาท)

คําแนะนํา

เนื่องจากแนวโน้มผลประกอบการในไตรมาส 1/66 ไม่น่าตื่นเต้น เราจึงไม่เห็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นที่ชัดเจนในระยะสั้น เราจึงยังคงคำแนะนำ “ถือ”

 

- Advertisement -