บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Action BUY (Maintain)
TP upside (downside) +28.0%
Close Feb 10, 2023 Price (THB) 12.50
12M Target (THB) 16.00
Previous Target (THB) 17.70
What’s new?
- คาดผลประกอบการ 4Q65 ขาดทุนปกติ -46 ล้านบาท พลิกเป็นขาดทุน YoY และขาดทุนเพิ่มขึ้น QoQ โดยมีสาเหตุหลักมาจากการใช้มาตรการ Lockdown ในหลายพื้นที่ของจีน ซึ่งทำให้อุปสงค์สําหรับบรรจุภัณฑ์ลดลง
- ปรับประมาณการปี 2565 เป็น 204 ล้านบาท หลังผลกระทบจากการ Lockdown ในจีนรุนแรงกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้า
- ปรับประมาณการปี 2566 ลงเป็น 351 ล้านบาท จากการเลื่อนกำหนดการ COD กำลังผลิตใหม่ในไทยและเวียดนาม
Our view
- คาดเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของผลประกอบการใน 1Q66 หลังจีนเปิดประเทศ และรับรู้แรงหนุนจากกำลังผลิตใหม่แบบเต็มไตรมาส
- ปรับราคาเหมาะสมลงเป็น 16.00 บาท/หุ้น มี Upside 28.0% ราคาปัจจุบันชื้อขายบน PBV2566 เพียง 11 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี -0.5SD คงคำแนะนำ”ซื้อ”
- ในช่วงสั้นราคาหุ้นมีโอกาสถูกกดดันจากผลประกอบการ 4Q65 ที่อ่อนแอ เชิงกลยุทธ์จึงไม่ต้องรีบเข้าลงทุน และอาจพิจารณาเข้าลงทุนหลังการประกาศงบ 4Q65
A.J. PLAST คาดผลประกอบการ 4Q65 เป็นจุดต่ำสุดแล้ว
คาด 4Q65 พลิกเป็นขาดทุน YoY และขาดทุนเพิ่มขึ้น QoQ จากอุปสงค์ที่อ่อนแอ
คาดผลประกอบการ 4Q65 ขาดทุนปกติ -46 ล้านบาท พลิกเป็นขาดทุน YoY และขาดทุนเพิ่มขึ้นจาก -18 ล้านบาทใน 3Q65 โดยสาเหตุหลักของการพลิกเป็นขาดทุน YoY มาจาก 1) การประกาศใช้มาตรการ Lockdown ในหลายพื้นที่ของจีน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในช่วง 4Q65 ทำให้อุปสงค์บรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคเอเชียลดลง และทำให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงราว -510bps YoY (อุปสงค์ในภูมิภาคลดลงมากกว่าอุปทานในภูมิภาค) และ 2) การ COD เครื่องผลิตฟิล์ม BOPP ในช่วง ธ.ค. 2565 ไม่สามารถชดเชยผลกระทบของการถอดเครื่องจักรเพื่อเตรียมนำไปติดตั้งในโรงงานแห่งใหม่ในเวียดนามได้ ขณะที่การขาดทุนเพิ่มขึ้น QoQ เป็นเพราะ 1) อุปสงค์บรรจุภัณฑ์ในเอเชียที่ลดลงตามระดับการบริโภคในจีน ซึ่งส่งผลให้ปริมาณขายและอัตรากำไรขั้นต้นลดลง QoQ และ 2) ค่าใช้จ่าย SG&A ที่เพิ่มสูงขึ้นจากการเปิดโรงงานแห่งที่ 2 ในไทย (ใช้ในการดำเนินงานสายการผลิตใหม่ของฟิล์ม BOPP ที่ COD ใน 4Q65)
ปรับประมาณการปี 2565-2566 ลง
เราปรับประมาณการปี 2565 ลงเป็น 204 ล้านบาท (-66% YoY) เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในจีน ส่งผลให้ระดับการบริโภคในจีนลดลงมากกว่าที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า และส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงมาอยู่ในระดับ 9.4% จากระดับ 12.5-13.5% ในปี 2563-2564 และปรับประมาณการปี 2566 เป็น 351 ล้านบาท (+72% YoY) หลังบริษัทฯมีการเลื่อนกำหนดการ COD สายการผลิตฟิล์ม BOPET ใหม่ในไทยและโรงงานในเวียดนามออกไปเป็นช่วงต้น 3Q66 (จากเดิม COD ในช่วงปลาย 1Q66) และเมื่อประกอบกับระยะเวลาในการ Ramp-up กำลังผลิตราว 3-6 เดือนส่งผลให้แรงหนุนจากการ COD กำลังผลิตใหม่ในปี 2566 ไม่ชัดเจนเหมือนที่เราประเมินไว้ก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม คาดกำไรปกติปี 2566 จะยังสามารถฟื้นตัวได้ YoY จากการผ่อนคลายนโยบาย Zero-COVID และการเปิดประเทศของจีน ซึ่งจะทำให้อุปสงค์บรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคเอเชียฟื้นตัว รวมถึงบริษัทฯมีการรับรู้รายได้จากกำลังการผลิตฟิล์ม BOPP ใหม่ในไทย (4 หมื่นตัน/ปี) แบบเต็มปี
เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวใน 1Q66
เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 1Q66 ลดลง YoY เนื่องจากเศรษฐกิจจีนที่อยู่ในช่วงฟื้นตัว (เทียบกับช่วง 1Q65 ที่ เศรษฐกิจอยู่ในระดับใกล้เคียงปกติ) ทำให้อุปสงค์สำหรับบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคลดลง YoY และเป็นปัจจัยกดดันปริมาณขายและอัตรากำไรขั้นต้น อย่างไรก็ตาม คาดเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของผลประกอบการได้ใน 1Q66 จาก 1) การที่จีนเปิดประเทศในเดือน ม.ค. จะส่งผลให้ภาคการผลิตฟื้นตัว และทำให้อุปสงค์สำหรับบรรจุภัณฑ์ฟื้นตัวตามลำดับ (คาดการฟื้นตัวจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป) และ 2) บริษัทฯ รับรู้แรงหนุนจากกำลังผลิตใหม่ที่ COD ใน 4Q65 แบบเต็มไตรมาส
ปรับราคาเหมาะสมลงเป็น 16.00 บาท/หุ้น คําแนะนํา “ซื้อ”
ผลจากการปรับประมาณการลง ส่งผลให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ลดลงเป็น 16.00 บาท/หุ้น (อิง PBV2566 ที่ 1.5 เท่า) มี Upside +28.0% ราคาปัจจุบันซื้อขายอยู่บน PBV2566 เพียง 1.1 เท่า ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี -0.5SD ทำให้ Downside เริ่มจำกัดแล้ว จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” อย่างไรก็ตาม ในช่วงสั้นราคาหุ้นมีโอกาสถูกกดดันจากผลประกอบการ 4Q65 ที่อ่อนแอ เชิงกลยุทธ์จึงไม่ต้องรีบเข้าลงทุน และอาจพิจารณาเข้าลงทุนหลังการประกาศงบ 4Q65 (คาดประกาศงบ 27 ก.พ. 2566)