บล.ทรีนีตี้:

เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซส – JMT

ซื้อ: ราคาเป้าหมาย 66 บาท, Upside/Downside +54%, Median Consensus 67.50 บาท

ปรับประมาณกำไรปี 66-67 ลง

  • แนวโน้มยอดจัดเก็บในปี 66 จะปรับตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
  • การซื้อหนี้อาจเร่งตัวมากขึ้นหลังหมดมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้
  • จะไม่มีค่าใช้จ่ายที่เป็น One-time เช่นในปี 66
  • บริษัทตั้งเป้ากำไรโตราว 30% YoY
  • ตั้งเป้า Spin-off JAM ปลายปี 66 แต่โครงสร้างต่างจากที่เราคาดไว้ก่อนหน้า
  • ปรับลดประมาณการกำไรปี 66-67 ลงเพื่อสะท้อนการเติบโตของกำไรที่อาจต่ำกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้า และโครงสร้างการ Spin-off JAM ที่อาจทำให้เกิด Dilution ของกำไรมากกว่าที่คาด
  • ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 66 บาท อิง PBV 3.9 เท่า

อาจเห็น Dilution ต่อการ Spin-off JAM

จากการประชุมนักวิเคราะห์มีประเด็นสำคัญ คือ แนวโน้มยอดจัดเก็บในปี 2566 ของทั้งกลุ่ม ซึ่ง รวม JK AMC จะปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ราว 7-8 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 10-26%YoY) จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการติดตามหนี้ที่ใกล้ชิด ขณะที่เป้าซื้อหนี้สำหรับ JMT เองจะอยู่ที่ราว 1-1.5 หมื่นล้านบาท และสำหรับ JK AMC อาจมีการโอนหนี้จาก KBANK เข้ามาเพิ่มเติม) โดยยังเห็นโอกาสที่สถาบันการเงินต่างๆ จะนำหนี้ออกมาขายเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ในปี 2566 จะไม่มี คาใช้จ่ายต่างๆ ที่เป็น One-time เข้ามากดดัน อาทิ ค่าใช้จ่ายจากการเคลมประกันภัย COVID 19 ราว 160 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นใน 4Q65 อาทิ ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างอาคารเพื่อขยายธุรกิจราว 30 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายทางด้านกฎหมายราว 40 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2566 อาจไม่เห็นพอร์ตหนี้ใหญ่ๆ ที่จะตัดต้นทุนหมด โดยในภาพรวมผู้บริหารยังคงตั้งเป้ากำไรโต 30% YoY สำหรับประเด็นการ Spin-off JAM ในปลายปี 2566 นั้น อาจทำให้สัดส่วนการถือหุ้นของ JMT ใน JAM ลดลงอีกราว 20% เหลือสัดส่วนการถือหุ้นราว 70% แต่ประเด็นสำคัญ คือ โครงสร้างอาจแตกต่างจากที่เราคาดไว้ก่อนหน้าที่คาดว่าจะมีการโอนหนี้ไม่มีหลักประกันภายใต้ JAM กลับมาที่ JMT (ปัจจุบัน JMT ถือหนี้ราว 50% ของพอร์ต เป็นหนี้ไม่มีหลักประกัน ส่วน JAM ถือหนี้อีกราว 50% ของพอร์ต เป็นหนี้มีหลักประกันและหนี้ไม่มีหลักประกัน) แม้การซื้อหนี้ในอนาคตจะแบ่งกันชัดเจน คือ JMT จะเน้นหนี้ไม่มีหลักประกัน ขณะที่ JAM จะเน้นหนี้มีหลักประกันก็ตาม ทำให้อาจเห็นผลของ Dilution จากการรับรู้กำไรจาก JAM ที่น้อยลงในปี 2567 (คาดว่าอยู่ที่ราว 10-15%) ซึ่งการซื้อหนี้ของ JAM ที่เพิ่มขึ้นภายหลังได้รับเงินทุนจากการ IPO อาจช่วยลดผลกระทบในระยะยาวได้

ปรับลดประมาณการกำไรปี 66-67 ลง

เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2566-2567 ลงราว 8% และ 12% ตามลำดับ มาอยู่ที่ 2,290 ล้านบาท (+31%YoY) และ 2.967 ล้านบาท (+30% YoY) เพื่อสะท้อนการเติบโตของกำไรที่อาจต่ำกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้า และสะท้อนโครงสร้างการ Spin-off ของ JAM ที่อาจทำให้เกิด Dilution มากกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้า

ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 66 บาท

จากการปรับลดประมาณการกำไร ทำให้เราประเมินราคาเป้าหมายใหม่สำหรับปี 2566 ที่ 66 บาท อิง PBV 3.9 เท่า โดยราคาหุ้นที่อ่อนตัวลงมาทำให้ PBV ลดลงเหลือ 2.7 เท่า ถือเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบหลายปี ซึ่งคาดว่าได้สะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

ความเสี่ยง: อัตราการจัดเก็บหนี้และกระแสเงินสดและการซื้อหนี้ต่ำกว่าที่คาด

- Advertisement -