บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Action TRADING (Maintain)
TP upside (downside) +10.1%
Close Feb 15, 2023 Price 22.70
12M Target 25.00
PTT OIL & RETAIL BUSINESS (OR) ผลประกอบการ 4Q65 พลิกเป็นขาดทุน YoY และ QoQ
Earnings Results
- OR รายงานผลขาดทุนสุทธิใน 4Q65 ที่ 744 ล้านบาท หากหักรายการพิเศษ (กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน, ขาดทุนจากอนุพันธ์ และการตั้งด้อยค่าธุรกิจในเมียนมา) ออก ผลขาดทุนปกติ 4Q65 อยู่ที่ -304 ล้านบาท พลิกเป็นขาดทุน YoY และ QoQ ต่ำกว่าที่เราและตลาดคาด โดยมีสาเหตุหลักจาก 1) ค่าการตลาดน้ำมันรวมที่ลดลงมาอยู่ในระดับ 0.48 บาท/ลิตร (-29% QoQ, -51% YoY) ต่ำกว่าที่เราคาดราว 20% และ 2) ค่าใช้จ่าย SG&A ที่สูงกว่าคาด ราว 6% ผลขาดทุนปกติใน 4Q65 ส่งผลให้กำไรปกติปี 2565 อยู่ที่ 10,631 ล้านบาท (-3% YoY) ใกล้เคียงกับประมาณการของเรา
- แม้ปริมาณขายน้ำมันรวมในช่วง 4Q65 อยู่ที่ 6,979 ล้านลิตร (+8% QoQ, +8% YoY) จากปริมาณการเดินทางในประเทศที่ฟื้นตัว หลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 คลี่คลาย และมีการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวแต่ผลประกอบการพลิกเป็นขาดทุน YoY และ QoQ โดยมีสาเหตุหลักมาจากค่าการตลาดน้ำมันที่ลดลงจากระดับ 0.98 บาท/ลิตร ใน 4Q64 และ 0.68 บาท/ลิตร ใน 3Q65 เพราะในช่วง 4Q65 โรงกลั่นน้ำมันในประเทศมีการปิดซ่อมบำรุง และส่งผลให้อุปทานน้ำมันในประเทศตึงตัว และเมื่อประกอบกับอุปสงค์น้ำมันที่ฟื้นตัวเร็วกว่าที่บริษัทฯ คาด (ผลจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวเร็วกว่าคาด) ทำให้บริษัทฯ ต้องมีการนำเข้าน้ำมันดีเซลจากต่างประเทศที่มีต้นทุนสูงเข้ามาขายในไทยราว 30% ของปริมาณขายน้ำมันดีเซล (ต้นทุนสูงขึ้นแต่ราคาขายถูกตรึงไว้ที่ราว 35 บาท/ลิตร)
Our Take
- เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 1Q66 ลดลง YoY จากฐานที่สูงในปีก่อน จากค่าการตลาดที่มีแนวโน้มลดลง YoY (ผลจากการที่ไม่มี Stock Gain ราว 3,600 ล้านบาทเหมือนใน 1Q65) แต่คาดเห็นการพลิกเป็นกำไร QoQ จาก 1) ปริมาณขายน้ำมันที่ทรงตัวอยู่ในระดับสูงหลังจีนเปิดประเทศ (คาดจำนวนเที่ยวบินจากจีนฟื้นตัวและช่วยหนุนอุปสงค์น้ำมันอากาศยาน) และ 2) ค่าการตลาดที่ฟื้นตัวกลับมาอยู่ในระดับ 0.70-1.00 บาท/ลิตร หลังผ่านช่วงซ่อมบำรุงของโรงกลั่นน้ำมันในประเทศทำให้อุปทานน้ำมันในประเทศเริ่มกลับสู่ระดับปกติ (บริษัทฯ ไม่จําเป็นต้องนำเข้าน้ำมันดีเซลมาขาย)
- เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ที่ผ่านมากรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติเห็นชอบปรับค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงกลับสู่ระดับปกติตามปี 2563 ส่งผลให้ค่าการตลาดของกลุ่มน้ำมันดีเซลมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น (เดิมภาครัฐขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ตรึงไว้ที่ระดับ 1.40 บาท/ลิตร) แต่ทำให้ค่าการตลาดของกลุ่มน้ำมันเบนซิน และแก๊สโซฮอล์มีแนวโน้มปรับตัวลดลงจากปี 2565 โดยประเด็นดังกล่าวจะเป็นปัจจัยที่ช่วยหนุนการฟื้นตัวของค่าการตลาดของบริษัทฯ ในระยะกลาง (OR มีสัดส่วนการขายน้ำมันดีเซลในปี 2565 ที่ราว 46%) อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวยังไม่ได้มีการประกาศใช้อย่างเป็นทางการ (ภาครัฐกำลังอยู่ระหว่างจัดทำแนวทางปฏิบัติ) จึงยังไม่ส่งผลต่อผลประกอบการ 1Q66 ของบริษัทฯ
- คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 25.00 บาท/หุ้น วานนี้ (15 ก.พ.) ราคาหุ้นได้มีการปรับตัวขึ้นราว 15% ส่งผลให้มี Upside เพียง +10.1% นอกจากนี้ในช่วงสั้นราคาหุ้นยังมีโอกาสถูกกดดันจากผลประกอบการ 4Q65 ที่อ่อนแอกว่าคาดการณ์ของตลาด จึงคงคําแนะนํา “TRADING”