บล.บัวหลวง:

Beverage – การขึ้นราคากระตุ้นการเปลี่ยนแปลงของตลาด

เราแนะนำให้นักลงทุนติดตามกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังอย่างใกล้ชิดในปี 2566 เราคาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงการแข่งขันของอุตสาหกรรม และได้จัดทําความเป็นไปได้ของผลจากสถานการณ์เชิงบวกสําหรับ OSP และ CBG หลังจากที่ TCP ตัดสินใจปรับขึ้นราคาขาย

จับตามองการเคลื่อนไหวที่กำลังจะมาถึง!

การเปลี่ยนแปลงของตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศมีการเปลี่ยนแปลงในไตรมาส 2/65 หลังจากที่ OSP ปรับขึ้นราคาขาย M-150 ขึ้น 20% เป็น 12 บาท/ขวด จาก 10 บาท นับเป็นการปรับราคาเครื่องดื่มชูกำลังเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เนื่องจากธรรมชาติของตลาดมีความอ่อนไหวต่อราคา ส่วนแบ่งการตลาดของ M-150 ได้ลดลงจาก 54.6% ในไตรมาส 4/64 มาอยู่ที่ 47.3% ในไตรมาส 4/65 ในขณะที่ส่วนแบ่งการตลาดของแบรนด์คาราบาวแดงของ CBG ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก ขณะที่แบรนด์กระทิงแดง (ผลิตโดย TC Pharmaceutical Industries Co Ltd (TCP) ซึ่งไม่ใช่บริษัทจดทะเบียน) ได้สร้างส่วนแบ่งการตลาดจาก 17.7% ในปี 2564 เป็น 22.7% ในปัจจุบัน หนุนโดยการใช้จ่ายด้านการตลาดและรสชาติที่ถูกใจ เมื่อวานนี้ มีรายงานข่าวในประเทศว่า TCP ได้ประกาศขึ้นราคาขาย 20% เป็น 12 บาท/ขวด มีผลตั้งแต่ เดือน มี.ค. 2566 เป็นต้นไป นับเป็นการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งสำหรับกลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังของไทยในปี 2566

สมมติฐานของเราสำหรับ CBG: อาจได้ประโยชน์ต่อราคาหุ้น 5-10 บาท/หุ้น

ในขณะที่เราคาดว่าจะได้ยินมุมมองเชิงกลยุทธ์จาก OSP และ CBG ในระหว่างการประชุมกับนักวิเคราะห์ใน 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า (หลังจากการประกาศผลประกอบการทั้งปี) เราคาดผลบวกจากการปรับขึ้นราคาของ TCP ต่อ OSP และ CBG

เราคาดว่า CBG มีตัวเลือกในการขึ้นราคาขายในทันที หรือชะลอออกไปสักระยะหนึ่งเพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดจากการปรับขึ้นราคาของ TCP หากสมมติว่า CBG คงราคาขายและมีส่วนแบ่งการตลาด 3-5% เราคาดว่าราคาหุ้นจะเพิ่มได้อีก 5 บาท/หุ้น จากราคาเป้าหมายปัจจุบันของเราที่อ้างอิงวิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF) ที่ 118 บาท/หุ้น ในกรณีสมมติ ราคาขายเพิ่มขึ้น 20% ตามผู้นำตลาด เราคาดราคาหุ้นจะเพิ่มได้อีก 10 บาท/หุ้น จากราคาเป้าหมายตามวิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF) ปัจจุบันของเรา

สมมติฐานของเราสําหรับ OSP: อาจได้ประโยชน์ต่อราคาหุ้น 4 บาท/หุ้น

หากสมมติว่า OSP กลับมามีส่วนแบ่งการตลาด (ปริมาณขายที่สูงขึ้น) และส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้น ก็จะสามารถบ่งชี้ว่าราคาเป้าหมายจะเพิ่มขึ้นอีก 4 บาท/หุ้น จากราคาเป้าหมายปัจจุบันของเราด้วยวิธีคิดลดกระแส เงินสด (DCF) ที่ 32 บาท/หุ้น ในกรณีนี้ เราคาดว่าส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทจะกลับมาอยู่ในระดับเดิมในปี 2564 และอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น แต่ไม่ถึงระดับในปี 2564 เนื่องจากต้นทุนอะลูมิเนียม ก๊าซธรรมชาติ ไฟฟ้า และ แรงงานที่เพิ่มขึ้นมา

- Advertisement -