GDP ไทยต่ำกว่าคาดการณ์ กดดันตลาดหุ้น
กรอบ SET INDEX 1630-1665
Market Outlook
วันศุกร์ที่ผ่านมาสภาพัฒน์รายงาน GDP 4Q22 ขยายตัวเพียง 1.4% YoY ต่ำกว่า Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 3.6% YoY โดยการบริโภคภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดีราว 5.7% YoY หลักๆ เป็นผลจากการใช้จ่ายในหมวดสินค้าไม่คงทนขยายตัวต่อเนื่อง (อาหาร) ขณะที่การใช้จ่ายหมวดสินค้าคงทนชะลอตัวลงตามการซื้อยานพาหนะ ด้านการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคขั้นสุดท้ายของรัฐบาลติดลบ 8% YoY หลักๆ ผลจากการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับ Covid-19 ลดลง ในขณะที่การลงทุนภาคเอกชนขยายตัว 4.5% YoY แต่ข้างในพบว่าการก่อสร้างที่อยู่อาศัยชะลอตัวลงและการก่อสร้างอาคารเชิงพาณิชย์หดตัว 5.5% YoY ส่วนด้านเครื่องมือเครื่องจักรขยายตัว 5.1% YoY ชะลอตัวลงจาก 3Q22 ที่ 14% YoY ชะลอลงทุกกลุ่มสินค้าทุนทั้งยานพาหนะแล เครื่องจักรอุตสาหกรรม ขณะที่การส่งออกหดตัว 10.5% YoY ลดลงทุกประเภทสินค้า ทั้งสินค้าเกษตรและสินค้า อุตสาหกรรม เนื่องจากอุปสงค์ที่อ่อนแอของคู่ค้า อย่างไรก็ตาม ส่งออกบริการขยายตัวเด่น 94.6% YoY ผลจากการมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยสรุปแล้วมองหุ้นกลุ่มค้าปลีกเกี่ยวข้องกับอาหารได้ประโยชน์ อาทิ (BJC, CRC, CPALL) ร้านอาหารและท่องเที่ยว (AOT, CENTEL, ERW, MINT, SHR, SPA) ส่วนสัปดาห์นี้ติดตาม (1) ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของ EU ในวันอังคาร (2) ยอดขายบ้านมือสองของสหรัฐฯ ในวันอังคารเช่นกัน Bloomberg คาดที่ 4.09 ล้านหลังคาเรือน (3) ยอดขายบ้านใหม่ในสหรัฐฯ ในวันศุกร์ Bloomberg ประเมินที่ 6.2 แสนหลังคาเรือน (4) ในประเทศติดตาม ผลประกอบการ 4Q22 ของบริษัทจดทะเบียน โดยประเมิน SET INDEX สัปดาห์นี้เคลื่อนไหวในกรอบ 1630-1665
เชิงกลยุทธ์การลงทุน ยังเน้นถือครองเงินสดระดับสูง ส่วนหุ้นแนะนําเน้นที่มีปัจจัยบวก อาทิ กลุ่มส่งออก (ASIAN, TU) ผลบวกค่าเงินบาทอ่อนค่า Domestic Play ที่เกี่ยวข้องกับการกลุ่มบริการอาหารและกลุ่มท่องเที่ยว (BJC, CRC, CPALL) (AOT, CENTEL, ERW, MINT, SPA) กลุ่มสื่อสาร (ADVANC, INTUCH) กลุ่มโรงไฟฟ้า (BGRIM, GPSC, GULF, RATCH) กลุ่มโรงพยาบาล (BCH, BDMS, CHG)
หุ้นแนะนําซื้อวันนี้
CPALL ราคาพื้นฐาน 72.00 บาท
ปัจจัยขับเคลื่อนสําคัญของ CPALL ในไตรมาส 4/22 และ ปี 2023 คือ (1) จํานวนลูกค้าในร้านที่เพิ่มขึ้นตามจํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ฟื้นตัวแข็งแกร่ง (2) การใช้จ่ายที่สูงขึ้นช่วงการแข่งขันบอลโลก และ (3) มาตรการกระตุ้นภาครัฐเพิ่มเติมก่อนไทยเข้าสู่การเลือกตั้ง โดยเราคาดว่ากำไรไตรมาส 4/22 จะโตขึ้น YoY และ QoQ จากยอดขายที่ฟื้นตัวขึ้นในทุกหน่วยธุรกิจ
BDMS ราคาพื้นฐาน 34.00 บาท
ประเมินอัตราการเติบโตของกำไรที่ 58% ในปี 2022 ด้วยอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ที่สูงขึ้นเป็น 14.5% ส่วนใน ปี 2023-2024 แม้คาดการเติบโตที่ชะลอลงเป็น 10%-8% YoY แต่ยังอยู่ในแดนบวก ด้วยกำไรปกติที่สูงกว่าช่วงก่อน Covid-19 ถึง 1.74 เท่า 1.87 เท่า พร้อมกับ ROE ที่ราว 15% ในปี 2023-2024