บล.ทรีนีตี้

ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป – TU

ซื้อ ราคาเป้าหมาย 21 บาท, Upside/Downside +30%, Median Consensus 22 บาท

กําไร 1Q66 อาจอ่อนตัว แต่ปี 66 ยังพอเติบโตได้

  • แนวโน้มกำไร 1Q66 อาจอ่อนตัวลงจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น และค่าเงินบาทที่แข็งค่า แม้ว่าธุรกิจของ Red Lobster จะเข้า High Season ก็ตาม
  • แต่แนวโน้มในไตรมาสถัดๆ ไปจะปรับตัวดีขึ้น ทำให้ภาพรวมกำไรปี 66 จะยังพอเติบโตได้ราว 5%YoY
  • ปัจจัยหนุนมาจากรายได้รวมที่ยังเติบโต และอัตรากำไรขั้นต้นที่ยังอยู่ในระดับสูง รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่อาจลดลงจากต้นทุนค่าขนส่งที่ลดลง ขณะที่ธุรกิจของ Red Lobster ที่อาจปรับตัวดีขึ้น (แม้จะยังขาดทุนอยู่)
  • เรายังคงราคาเป้าหมายปี 66 ที่ 21 บาท แต่ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี Upside ที่น่าสนใจ บวกกับปันผล ทำให้เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

กําไร 1Q66 อาจอ่อนตัว

จากการประชุมนักวิเคราะห์มีประเด็นสำคัญ คือ แนวโน้มกำไร 1Q66 อาจอ่อนตัวลงจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวสูงขึ้น และค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ และยูโร ซึ่งจะกดดันทั้งรายได้และอัตรากำไรขั้นต้น แม้ว่าธุรกิจของ Red Lobster จะเข้าสู่ช่วง High Season ทำให้ฟื้นตัวได้บ้างก็ตาม

แต่ทั้งปี 66 ยังพอเติบโตได้

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในไตรมาสถัดๆ ไปจะปรับตัวดีขึ้น โดยในภาพรวมทั้งปี 2566 ทางบริษัทตั้งเป้ารายได้รวมจะเติบโตได้ราว 5-6%YoY (เราคาด 5%YoY) และตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ราว 18-18.5% (เราคาด 17.7%) ซึ่งเป็นผลจากธุรกิจหลักที่เติบโตต่อเนื่อง โดยธุรกิจอาหารทะเลกระป๋องจะได้รับผลบวกจากการปรับราคาขายเพื่อสะท้อนต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น และการเพิ่มสัดส่วนยอดขายผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง ส่วนธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งจะเน้นเพิ่มสัดส่วนผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นเช่นกัน อาทิ อาหารพร้อมทานและอาหารพร้อมปรุง อีกทั้งยังอาจเห็นผลบวกต่อเนื่องจากการเปิดเมืองเมื่อเทียบกับปี 2565 ที่ยังมีช่วงปิดเมืองอยู่ในหลายประเทศ ด้านธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงยังคงเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งอาจมีการขยายไปยังตลาดที่มีศักยภาพ เช่นประเทศจีน สำหรับสัดส่วนค่าใช้จ่ายเมื่อเทียบกับยอดขายบริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 11-12% (เราคาด 11.5%) โดยปรับตัวลดลงจากปี 2565 ที่ 12.3% เนื่องจากแนวโน้มค่าขนส่งเริ่มมีสัญญาณปรับตัวลง ขณะที่ธุรกิจของ Red Lobster อาจมีขาดทุนน้อยลง เนื่องจากมีการปรับราคาขายขึ้นเพื่อสะท้อนต้นทุน และยังมีการปรับเมนูเพื่อให้อัตรากำไรดีขึ้น ทำให้เราคาดภาพรวมกำไรปี 2566 ที่ 7,504 ล้านบาท เติบโต 5%YoY

คงราคาเป้าหมายและคำแนะนำ

เรายังคงราคาเป้าหมายปี 2566 ที่ 21 บาท อิง PBV 1.6 เท่า แม้ว่ากำไร 1Q66 จะมีแนวโน้มอ่อนตัวลง และภาพรวมกำไรปี 2566 จะเติบโตไม่สูง แต่ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายกันที่ระดับ Forward PER เพียง 10.2 เท่า ถือว่าค่อนข้างต่ำ ทำให้ Upside ยังน่าสนใจ บวกกับบริษัทประกาศจ่ายปันผลสำหรับกำไรครึ่งปีหลังอีก 0.44 บาท (XD 3 มี.ค. 66) คิดเป็น Residual Dividend Yield 2.7% จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

ความเสี่ยง: เงินเฟ้อกระทบอัตรากำไรของบริษัท

- Advertisement -