บล.ฟิลลิป:

บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ – BTS

ปี 2567 ฟื้นตัวจากธุรกิจที่มีมาร์จิ้นดีโต

Key Point

4Q65 แนวโน้มมีโอกาสอ่อนตัวลง q-q ตามฤดูกาลของ VGI ที่งบโฆษณาจะอ่อนตัวลง และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมอาจลดลง เพราะอาจไม่มีรายการพิเศษ แต่คาดปี 2567 กำไรฟื้นตัว แม้งานก่อสร้างลดลง แต่รายได้ส่วนอื่นที่มีอัตรากำไรที่ดีกว่ายังโต อีกทั้งคาดส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมจะเพิ่มขึ้น ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐานปี 2567 ที่ 10.30 บาท

3Q66 กำาไรทรงตัว y-y จากรายการพิเศษ และส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมดีขึ้น

3Q66 กำไรที่ 1,049 ล้านบาท -0.5% y-y มาจากรายการพิเศษและส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมดีขึ้น โดยรายได้อยู่ที่ 4,721 ล้านบาท -40.2% y-y แบ่งตามหมวดธุรกิจดังนี้

    • MOVE (ระบบขนส่งมวลชน) : รายได้ลดลง 50.5% y-y ที่ 3,063 ล้านบาท จากการงานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูและเหลืองที่มีความก้าวหน้าแล้ว 95% และ 98% การส่งมอบงานจึงลดลง รายได้ก่อสร้าง -60.4% เหลือ 1,494 ล้านบาท แต่ค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสีทอง (O&M) +8.7% ที่ 1,662 ล้านบาท เป็นไปตามการเพิ่มขึ้นตามสัญญาค่าจ้างเดินรถ
    • MIX (ธุรกิจโฆษณา บริการและขายของ VGI): รายได้ -7.0% เป็น 1,388 ล้านบาท แม้รายได้โฆษณา และบริการดิจิทัลฟื้น 35.9% และ 11.2% ตามผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น รวมถึงรายได้ค่าคอมมิชชั่นของแรบบิท แคร์ และค่าธรรมเนียมการใช้บัตรโดยสารของแรบบิท การ์ด แต่รายได้จากแฟนสลิงฯ -44.3% จากการปรับเปลี่ยน Product Mix แม้จะมีการร่วมงบของ NINE เข้ามา
    • MATCH (ธุรกิจอื่นๆ): รายได้ +19.4% เป็น 182 ล้านบาท จากการให้บริการของธนาซิตี้ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ต คลับ ที่รายได้เพิ่มขึ้น

อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นจาก 18.9% เป็น 32.7% จากรายได้งานก่อสร้าง ซึ่งมีอัตรากำไรขั้นต้นต่ำลดลง และ SG&A +59.3% จากการควบงบ NINE, การโฆษณาประชาสัมพันธ์ของแฟนสลิ้งค์ และการเพิ่มขึ้นของบริษัทแรบบิท แคร์ และแรบบิท แคช รายได้อื่น +56.4% จากรายการพิเศษที่ขาดทุน 5 ล้านบาทในปีก่อน เป็นกำไร 95 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วม +42.6% จาก BTSGIF ที่การดำเนินงานดีขึ้นจากผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น, RABBIT ที่มีกำไรจากการขายเงินลงทุน, รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก JMART จากปีก่อนไม่มี ซึ่งชดเชยการรับรู้ขาดทุนจาก KEX ที่เพิ่มขึ้น

แนวโน้มใน 4Q66 คาดมีโอกาสอ่อนตัวลง q-q

แนวโน้มใน 4Q66 คาดมีโอกาสอ่อนตัวลง q-q เนื่องจากธุรกิจของ VGI จะอ่อนลงตามฤดูกาล เพราะเป็น low season และงานก่อสร้างสายสีชมพูและสีเหลืองที่เหลือส่งมอบไม่มาก ในขณะที่ RABBIT จะมีกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนอีกหรือไม่ เพราะ 3Q66 บันทึกกำไรขายสินทรัพย์ 522 ล้านบาท เช่นเดียวกับ KEX ที่มีค่าใช้จ่ายครั้งเดียว 384 ล้านบาทที่อาจไม่มีอีก แต่กำไร 3Q66 ที่ออกมาทรงตัว y-y จึงปรับกำไรปี 2566 ขึ้นเป็น 2,633 ล้านบาท

สายสีเขียวและสีส้มคดียังอยู่ในชั้นศาล สายสีชมพูและเหลืองจะเปิดให้บริการปีนี้

คดีความของสายสีเขียวและสีส้มยังอยู่ในชั้นศาลปกครองและศาลอาญา สายสีเขียว: คดีแรกเรื่องชำระค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุงสายสีเขียวมูลค่า 11,754 ล้านบาท ศาลปกครองกลางส่งใน กทม. และกรุงเทพธนาคร ชำระหนี้แก่ BTSC ตอนนี้อยู่ระหว่างยื่นอุทธรณ์ของ กทม. และกรุงเทพธนาคมต่อศาลปกครองสูงสุด และคดีที่ 2 ทวงหนี้รถไฟฟ้าสายสีเขียวอีก 11,000 ล้านบาท อยู่ระหว่าง BTSC ทำคำคัดค้านต่อคำให้การของกรุงเทพธนาครที่ให้การต่อศาลปกครองว่า สัญญาเดินรถที่กรุงเทพธนาคม กับ BTSC เป็นสัญญาที่ไม่ชอบ 2. สายสีส้ม: ประมูลครั้งแรก คดีที่ 1 การแก้ไขหลักเกณฑ์การประมูล ครั้งแรกเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และคดีที่ 2 การยกเลิกการประมูลไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งคดีแรกทั้ง BTSC และ MRTA ได้ยื่นอุทธรณ์ และคดีที่ 2 MRTA ยื่นอุทธรณ์ และคดีที่ 3 เป็นคดี ทุจริตซึ่งอยู่ที่ศาลอาญา ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิจารณายกฟ้องในคดีที่ 3 แต่ทาง BTSC อยู่ระหว่างการพิจารณายื่นอุทธรณ์ และประมูลครั้งที่ 2 ยื่นฟ้องศาลปกครองกลางว่าการประมูลครั้งที่ 2 มิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ซึ่งสายสีเขียวและสายสีส้มยังต้องตามคำตัดสินต่อไป 3. สายสีเหลือง จะเปิดใช้งาน มิ.ย. 2566 (ทดลองวิ่ง มี.ค.-มิ.ย.) 4. สายสีชมพู จะเปิดใช้งาน ส.ค. 2566 (ทดลองวิ่ง พ.ค.-ส.ค.) ส่วนต่อขยายสีชมพูเข้าเมืองทองธานีปัจจุบันก่อสร้างได้ 11% ซึ่งสายสีเหลืองและสีชมพู BTS จะรับรู้รายได้เป็นค่าโดยสาร และยังส่งผลดีต่อ VGI ที่จะมีพื้นที่โฆษณาเพิ่มขึ้น

ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาพื้นฐาน 10.30 บาท

คาดรายได้ในปี 2567 ที่ 14,066 ล้านบาท -23.2% y-y หลักๆ มาจากการลดลงของงานก่อสร้างสายสีชมพูและสีเหลือง แต่ส่วนงานอื่นๆ ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่ายังเติบโตได้ จากการฟื้นตัวของ VGI และค่าจ้างเดินรถไฟฟ้า อีกทั้งส่วนแบ่งกำไรที่คาดจะดีขึ้นจาก BTSGIF, JMART, RABBIT ที่ยังมีการขายสินทรัพย์ตามแผนการเปลี่ยนธุรกิจ และ KEX ที่คาดแนวโน้มขาดทุนลดลง คาดกำไรสุทธิที่ 2,950 ล้านบาท บนวิธี SOTP ราคาพื้นฐานปี 2567 อยู่ที่ 10.30 บาท ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

ความเสี่ยง

  1. อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ /อัตราดอกเบี้ย /สภาพคล่อง
  2. นโยบายลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐฯ
  3. การลงทุนในโครงการใหม่ที่อาจไม่เป็นไปตามแผน
- Advertisement -