บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Action TRADING (Downgrade)
TP upside (Downside) +16.1%
Close Feb 21, 2023 Price (THB) 43.25
12M Target (THB) 45.00
Previous Target (THB) 45.00
What’s new?
- TCAP รายงานกำไรสุทธิ 4Q65 จํานวน 1,086 ลบ. ลดลง 38.6%YoY และ 18.1%QoQ สวนทางกับที่เราคาดจะปรับขึ้น หลังถูกกดดันจากทั้งรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่ลดลง จากต้นทุนทางการเงินที่เร่งตัวขึ้น บวกกับรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่ปรับลง ทั้งจากธุรกิจประกันชีวิตและธุรกิจตลาดทุน นอกจากนี้ยังตั้งสำรองเพิ่มขึ้น กดดันผลดำเนินงาน
Our view
- แม้เรามองว่า TCAP จะมีผลดำเนินงานที่ดีขึ้น แต่ด้วยราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside จํากัด เทียบกับมูลค่าพื้นฐานปี 2566 ที่ 45 บาท (อิง Prospective PBV ที่ 0.7x) ทําให้เราลดคำแนะนําลงจาก “ซื้อ” เป็น “Trading” โดยล่าสุดบริษัทประกาศปันผลจากผลดำเนินงาน 2H65 ที่ 1.9 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Dr. Yield 4.4% (XD วันที่ 18 เม.ย. และจ่ายปันผล 3 พ.ค.) ทําให้มองว่ายังมีโอกาสำหรับการเก็งกำไรในช่วงสั้น
THANACHART CAPITAL ราคาหุ้นเต็มมูลค่า แต่ยังมีจุดน่าสนใจที่ปันผลสูง
กำไรลดลงทั้ง YoY และ QoQ หลังต้นทุนดอกเบี้ยและตั้งสำรองสูงขึ้น
TCAP รายงานกำไรสุทธิ 4Q65 จํานวน 1,086 ลบ. ลดลง 38.6%YoY เนื่องจากไม่มีการกลับรายการสำรอง NPA และการรับชำระหนี้จากลูกหนี้ NPL รายใหญ่เหมือนกับ 4Q64 และลดลง 18.1%QoQ สวนทางกับที่เราคาดจะปรับขึ้น QoQ โดยปัจจัยกดดันหลักๆ มาจากรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่ลดลง 1.30 หลังเริ่มมีผลกระทบจากต้นทุนการเงินที่ปรับตัวขึ้นเร็วกว่ารายได้ สะท้อนจาก Cost of Fund ที่เพิ่มขึ้นเป็น 2.9% จาก 2.6% ใน 3Q65 2) รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง 8.8%QoQ แม้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม (TTB และ MBK) จะโต 14.4%QoQ แต่ถูกหักล้างด้วยรายได้สุทธิจากธุรกิจประกันชีวิตของ TLIFE ลดลง 34.20 หลังค่าใช้จ่ายเร่งตัวขึ้นตามจำนวนกรมธรรม์ใหม่ๆ ที่เข้ามาเพิ่มขึ้น รวมถึงมีค่าใช้จ่ายสำรองสัญญาประกันระยะยาวเพิ่มขึ้นจากผลของ Bond Yield ที่ต่ำลง นอกจากนี้รายได้จากธุรกิจตลาดทุนยังชะลอตัว จากทั้งปริมาณมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยผ่านบล.ธนชาต ที่ลดลง 4.20 อีกทั้งมีรายได้จากธุรกิจ IB น้อยลงจาก 3Q65 และ 3) ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองเพิ่มขึ้น 146.50 หลัง THANI มีระดับ NPL สูงขึ้น
ภาพปี 2566 คาดเห็นพัฒนาการเชิงบวกของบริษัทย่อยในกลุ่ม
สำหรับทิศทางปี 2566 เราคาดจะเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นของ TCAP หลังบริษัทย่อยต่างๆ ในกลุ่มคาดจะมีผลดำเนินงานที่ดีขึ้น หนุนจาก 1) THANI คาดได้อานิสงค์บวกจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่สูงขึ้น หนุนความต้องการใช้รถบรรทุก ทำให้การขยายพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกของบริษัทดีขึ้น บวกกับคาดสำรองจะเริ่มผ่อนคลายลงสอดรับกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ 2) คาดส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมจะปรับขึ้นได้ดี ทั้งในส่วนของ TTB ที่คาดกำไรจะโต 6.6%YoY หลังขยายพอร์ตสินเชื่อได้ดีขึ้น และเริ่มลดระดับการตั้งสำรอง นอกจากนี้คาด MBK จะมีกำไรฟื้นตัวขึ้นได้ดี สอดรับไปกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในไทยมากขึ้น หนุนธุรกิจโรงแรม และช่วยให้ Traffic ของ MBK CENTER ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง 3) คาด TPLUS จะเริ่มมีการเร่งขยายสินเชื่อ หลังความต้องการลงทุนเพื่อขยายธุรกิจของบริษัทเอกชนสูงขึ้น หลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย ทำให้คาดสินเชื่อปล่อยใหม่จะสูงขึ้น หนุนให้คาด TCAP จะมีกำไรสุทธิ ในปี 2566 จํานวน 6,358 ลบ. โต 21.8%YoY
ราคาหุ้นมี Upside จำกัด แต่ยังเป็น Dividend Stock ที่ให้ปันผลเด่น
แม้เรามองว่า TCAP จะมีผลดำเนินงานที่ดีขึ้น แต่ด้วยราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside จำกัด เทียบกับมูลค่าพื้นฐานปี 2566 ที่ 45 บาท (อิง Prospective PBV ที่ 0.7x) ทำให้เราลดคำแนะนำลงจาก “ซื้อ” เป็น “Trading” โดยล่าสุดบริษัทประกาศปันผลจากผลดำเนินงาน 2H65 ที่ 1.9 บาทต่อหุ้น คิดเป็น Div. Yield 4.4% (XD วันที่ 18 เม.ย. และจ่ายปันผล 3 พ.ค.) ทำให้มองว่ายังมีโอกาสสำหรับการเก็งกำไรในช่วงสั้น