CHG สุดแกร่ง! ปี 65 รายได้ทะลุ 1 หมื่นล้านบาท รับอานิสงส์คนไข้ไทย–ต่างชาติ แห่เข้าใช้บริการเพิ่มขึ้น บอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลอีก 0.075 บาท
CHG อวดผลงานปี 65 รายได้พุ่ง 10,408 ล้านบาท รับผลดีเปิดให้บริการของโรงพยาบาลอย่างเต็มรูปแบบ แถมคนไข้ชาวไทยและคนไข้ต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง มองแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อ ล่าสุดบอร์ดอนุมัติจ่ายเงินปันผลอีกในอัตรา 0.075 บาทต่อหุ้น ขึ้น XD วันที่ 28 เมษายน 2566
นายแพทย์กำพล พลัสสินทร์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานประจำปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม 10,408 ล้านบาท ลดลง 13.3% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีรายได้รวม 11,999 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,778 ล้านบาท ลดลง 33.9% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีกำไรสุทธิ 4,204 ล้านบาท
ทั้งนี้ในปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการประกอบกิจการโรงพยาบาล 10,103 ล้านบาท ลดลง 14% เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยรายได้ในกลุ่มผู้ป่วยทั่วไปปี 2565 เพิ่มขึ้น 22% แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยนอก (OPD) เพิ่มขึ้น 311.11 ล้านบาท และรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยใน (IPD) เพิ่มขึ้น 626.65 ล้านบาท
โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการกลับมาเปิดให้บริการของโรงพยาบาลอย่างเต็มรูปแบบ การเพิ่มขึ้นของรายได้กลุ่มคนไข้ชาวไทยและคนไข้ต่างชาติ การกลับมาใช้บริการศูนย์ความเป็นเลิศ (Excellence Center) ต่างๆ อาทิ ศูนย์หัวใจ, ศูนย์ผ่าตัดกะเพาะ เป็นต้น และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนรายได้ที่เกี่ยวเนื่องจากโควิด-19 ลดลงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เริ่มคลี่คลาย
ขณะที่รายได้โครงการประกันสังคมในปี 2565 เพิ่มขึ้น 11% จากปี 2564 เนื่องจากจำนวนผู้ประกันตนที่เพิ่มขึ้น การกลับมารักษาของผู้ป่วยในโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง อย่างไรก็ตามรายได้จากโครงการภาครัฐอื่นๆ ปี 2565 ลดลง 50% เมื่อเทียบกับปี 2564 สาเหตุหลักมาจากรายได้ที่เกี่ยวเนื่องจากโรคโควิด-19 ลดลง รวมถึงการปรับเปลี่ยนและการยกเลิกนโยบายของภาครัฐในการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 แต่อย่างไรก็ตามบริษัทฯยังมีรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 48 ล้านบาท เนื่องจากการรับจ้างบริหารงานให้กับโรงพยาบาลภาครัฐ
นายแพทย์กำพล กล่าวต่อว่า ผลประกอบการโดยรวมของปี 2565 เป็นไปในทิศทางที่สอดคล้องกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ช่วงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ประกอบกับอัตราการเบิกจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลของภาครัฐยังคงอยู่ จนกระทั่งสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มคลี่คลายลง จนรัฐบาลได้มีการประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น และยกเลิกการจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้กับโรงพยาบาลในช่วงต้นไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ดังจะเห็นได้จากรายได้ในส่วนนี้ที่ลดลงจากปีก่อนหน้า
ขณะเดียวกัน เมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ ทำให้ผู้ป่วยทั่วไป ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติกลับมาใช้บริการของโรงพยาบาลมากขึ้น ส่งผลให้รายได้ในกลุ่มผู้ป่วยทั่วไปเพิ่มสูงขึ้นและคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 ปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการประกอบกิจการโรงพยาบาล 1,720.91 ล้านบาท ลดลง 55% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2564 โดยรายได้ในกลุ่มผู้ป่วยทั่วไป ลดลง 15% แยกออกเป็นรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยนอก (OPD) ลดลง 316.40 ล้านบาท แต่รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยใน (IPD) เพิ่มขึ้น 127.41 ล้านบาท
ทั้งนี้เนื่องจากการกลับมาเปิดให้บริการของโรงพยาบาลอย่างเต็มรูปแบบ การเพิ่มขึ้นของรายได้กลุ่มคนไข้ชาวไทยและคนไข้ต่างชาติ การกลับมาใช้บริการศูนย์ความเป็นเลิศ (Excellence Center) ต่างๆ อาทิ ศูนย์หัวใจ, ศูนย์ผ่าตัดกะเพาะ เป็นต้น และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่รายได้ที่เกี่ยวเนื่องจากโควิด-19 ลดลงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เริ่มคลี่คลาย
ส่วนรายได้โครงการประกันสังคม ไตรมาส 4 ปี 2565 ลดลง 7% จากไตรมาส 4 ปี 2564 เนื่องจากจำนวนผู้ประกันตนที่เพิ่มขึ้น การกลับมารักษาของผู้ป่วยในโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง ขณะที่รายได้จากโครงการภาครัฐอื่นๆ ลดลง 100% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2564 สาเหตุหลักมาจากรายได้ที่เกี่ยวเนื่องจากโรคโควิด-19 ตามนโยบายของภาครัฐที่ยกเลิกการจ่ายเงินค่ารักษาพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 แต่บริษัทฯ ยังมีรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 27 ล้านบาท จากการรับจ้างบริหารงานให้กับโรงพยาบาลภาครัฐ
ดังนั้นในไตรมาส 4 ปี 2565 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ จำนวน 285.34 ล้านบาท ลดลง 84% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ปี 2564 ตามผลประกอบการของบริษัทฯ ที่ลดลงและตามเหตุผลที่กล่าวไปข้างต้น
อย่างไรก็ตามที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลประจำรอบปีบัญชี 2565 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.16 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 63% ของกำไรสุทธิซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทฯ ทั้งนี้ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับรอบปีบัญชี 2565 ไปแล้ว 0.085 บาทต่อหุ้น ดังนั้น จึงเห็นควรเสนอให้จ่ายเงินปันผลส่วนที่เหลืออีก 0.075 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดให้วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) คือวันที่ 28 เมษายน 2566 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 2 พฤษภาคม 2566 (Record Date) และจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 19 พฤษภาคม 2566