บล.ฟิลลิป:
ไทยยูเนี่ยน – TU ปี 66 กลับสู่ภาวะปกติ
Key Point
ปี 65 ภาพรวมรายได้เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่มีขาดทุนจากการปิดโรงงานในเยอรมันและขาดทุนจาก Red lobster ทำให้กำไรสุทธิอ่อนตัว แต่ในปี 66 ส่วนธุรกิจในสหรัฐจะเป็น Key driver กลับมาเป็นกำไรแต่จะทำให้ เครดิตภาษีลดลงตาม และมีการขยายตลาด Pet care เพิ่ม, ส่วนขาดทุนใน RL คาดว่าจะลดลง คาดกำไรสุทธิ 7,327 ลบ. +2.65% y-y ราคาพื้นฐานปี 66 อยู่ ที่ 21.90 บาท/หุ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ”
ปี 65 ทำสถิติรายได้และกำไรขั้นต้นสูงสุด / ปี 66 ดีขึ้นทุกส่วนธุรกิจ
รายได้ของ TU แบ่งได้เป็น 4 ส่วน
1) รายได้ในส่วนของ Ambient +12.8%y-y +0.6%q-q มีการปรับราคาขายเพิ่ม และปริมาณการขายเพิ่มขึ้น, ฝั่งอเมริกาและเอเชียยังเติบโตได้ดี, GPM 21.2% เพิ่มขึ้น y-y แต่ลดลง q-q เนื่องจากมีสัดส่วน OEM เพิ่มขึ้น, Ambient ยังคงเป็นรายได้หลักมีสัดส่วนเป็น 43% ของรายได้รวม และจะมีการปรับราคาเพิ่มขึ้นอีกในปี 2566 นี้เพื่อให้ทันต้นทุนของเงินเฟ้อ
2) รายได้ในส่วนของ Frozen – 13.1%y-y และ -2.5%q-q ราคาอาหารทะเลในสหรัฐปรับราคาลง และมี ปริมาณการขายลดลง แต่ส่วนในยุโรปเริ่มดีขึ้น, GPM เพิ่มขึ้น 8.8%q-q เนื่องจากมีการจัดการวัตถุดิบ และสินค้าได้ดีขึ้น, บริษัทฯ มีการปรับ Product mix ไปในสินค้าที่กำไรสูง, มีสัดส่วนรายได้ลดลงมาเป็น 36% ของรายได้รวม, คาดว่าปี 2566 นี้ตลาดสหรัฐฯ จะกลับมาเป็นปกติ และเติบโตขึ้นจากการปรับสินค้าใหม่ๆ เช่น Red lobster frozen และจะทำ GPM ได้ดีขึ้นในปี 2566
3) รายได้ในส่วนของ Pet Care โต 34.1% มีการปรับราคาขายเพิ่มและขายได้ปริมาณที่เพิ่มขึ้น, GPM 23.3% ลดลง q-q มีค่าใช้จ่าย Employee program ที่ต้องลงเพิ่มเป็นต้นทุน และค่าแรงงานที่สูงขึ้นจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาเป็น 14% ของรายได้รวม และจะเป็นอีกส่วนธุรกิจที่จะเติบโตในปี 2566, มีการจัดตั้ง บ.ใหม่ในจีนและเนเธอร์แลนด์เพื่อบุกตลาดจีนและยุโรป
4) รายได้ในส่วนของ Value-added -2.5%y-y และ -8.6%q-q จากปริมาณการขายสินค้า Value- added ที่ลดลง แต่ส่วนของ Packaging ทำได้ดีขึ้น, GPM ลดลง 27.3%q-q, และจะมีโรงงานใหม่ สร้างเสร็จ 2Q66 เพื่อผลิตสินค้า ready to eat, ติ่มซำ และอื่นๆ ทำให้เพิ่ม capacity ส่วนงานของ value add เพิ่ม 38% และช่วยลดค่าแรงงานได้, ปัจจุบันมีสัดส่วน 7% ของรายได้รวม
ผลประกอบการใน 4Q65 กำไร 1,239 ลบ. ลดลง -35.8%y-y-51.1%q-q มีขาดทุนจากค่าเงิน, ทั้งปี 65 กำไรสุทธิ 7,138 ลบ. -10.9%y-y, มีขาดทุนจากการปิดโรงงานที่เยอรมันและขาดทุนใน Red lobster หากไม่รวม 2 รายการนี้ จะมีกำไรสุทธิก่อนรายการพิเศษที่ 8,233 ลบ. +2.7% y-y, จ่ายปันผลครึ่งปีหลัง 0.44 บาท
1Q66 อ่อนตัว q-q แต่ยังเติบโต y-y
1Q66 คาดรายได้ 37,600 ลบ +3.7%y-y -5.0%q-q จากลูกค้าทยอยปรับลดสต๊อกสินค้า เนื่องจากภาวะการขนส่งกลับมาเป็นปกติแล้วและราคาวัตถุดิบทูน่ายังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งทำให้มีผลต่อการตัดสินใจสั่งซื่อ แต่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเนื่องจากสถานการณ์โอไมครอนไม่รุนแรงเหมือนปีก่อน
ปี 66 กลับสู่ภาวะปกติ
คาดรายได้ปี 66 ไว้ที่ 164,170 ลบ. +5.5%y-y ณ ค่าเงิน 35 บาท/ดอลลาร์, GPM ดีขึ้นอยู่ที่ 18.0%y- y, ซึ่งมาจากหลายปัจจัย เช่น สินค้า Ambient จะมีการปรับราคาเพิ่มขึ้น, สินค้า Frozen ตลาดสหรัฐฯ จะกลับมาเป็นปกติ และเติบโตขึ้นจากการปรับสินค้าใหม่ๆ เช่น Red lobster froze, ส่วนสินค้า Pet Care มีการขยายตลาดไปจีนและยุโรป, ส่วนสินค้า Value Added จะสามารถผลิตสินค้าที่มีมาร์จิ้น เพิ่มเช่น ready to eat, ติ่มซำ และอื่นๆ จากโรงงานใหม่ที่จะเพิ่ม Capacity ได้เพิ่มอีก 38%, SG&A 12.35% ใกล้เคียงกับปีก่อน คาดกำไรก่อนภาษี 8,147 ลบ. +19%y-y โตมากกว่า Top line แต่เนื่องจากปีนี้คาดว่าผลการดำเนินงานของสหรัฐและยุโรปจะดีขึ้นกลับสู่ภาวะปกติ ทำให้คาดว่าปีนี้จะไม่ได้รับเครดิตภาษีเหมือนปีก่อน คาดกำไรสุทธิไว้ที่ 7,327 ลบ. +2.65%y-y
การลงทุน
หลังนำ ITC เข้าตลาดหุ้น TU ถือสัดส่วน 78% และทำให้ฐานะทางการเงินดีขึ้น Net D/E ratio 0.54 เท่า ปี 66 จะเป็นปีที่โฟกัสการลงทุนใหม่ๆ อย่าง Pet Care และ Ingredient เป็นส่วนธุรกิจที่ได้กำไรสูง
ราคาพื้นฐานปี 2566 ที่ 21.90 บาท/หุ้น อิง P/E 14.26 เท่า
ทางฝ่ายประเมินราคาหุ้น โดยใช้ P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี เฉลี่ยอยู่ที่ 14.26 เท่า เนื่องจากเป็นบริษัทฯ ที่มั่นคงและเป็นบริษัทฯ ที่ใหญ่ การลงทุนใหม่ๆ จะทำให้ผลประกอบการโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป Analyst Meeting ทางฝ่ายฯมีการปรับลดกำไรสุทธิปี 66 มาอยู่ที่ 7,327 ลบ., EPS 1.54 ราคาพื้นฐานปี 2566 อยู่ที่ 21.90 บาท/หุ้น อย่างไรก็ตามราคาหุ้นปัจจุบันยังต่ำกว่าราคาพื้นฐาน คงคำแนะนำ “ซื้อ”
ความเสี่ยง
1. เกิดโรคระบาดในวัตถุดิบที่นำมาผลิต
2. ความผันผวนของราคาวัตถุดิบส่งผลต่อต้นทุนการผลิตให้สูงขึ้น
3. กฎระเบียบการนำเข้าของคู่ค้าในประเทศต่างๆ