EP ปักธงปี 66 รายได้รวมเติบโตมากกว่า 50% ประเมินรายได้ขายไฟฟ้าโตเกิน 2 เท่า วินด์ฟาร์มเวียดนาม 160 MW จ่อเสียบปลั๊กภายในกลางปีนี้
บมจ.อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป (EP) เปิดแผนปี66 ตั้งเป้ารายได้รวมเติบโตขึ้นมากกว่า 50% ประเมินรายได้โรงไฟฟ้าโตเกิน 2 เท่า ผลจากการรับรู้ จากโครงการ Solar Rooftop, Solar farm และการขายไฟฟ้าให้เอกชน ส่วนธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ฟื้น หวังยอดขายโต 20% หลังปรับราคาได้ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ฟากบิ๊กบอส “ยุทธ ชินสุภัคกุล” ระบุโครงการวินด์ฟาร์มขนาด 160 เมกะวัตต์ในประเทศเวียดนาม จะมีความชัดเจนเร็วๆ นี้ หลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเสนอความเห็นต่อรัฐบาลเวียดนามให้เร่งรับซื้อไฟฟ้าโดยเร็ว เผยโครงการไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 8 โครงการ ขนาดการผลิตรวม 61.625 เมกะวัตต์ ลุ้นประกาศผลคัดเลือก 22 มี.ค.นี้ ขณะที่เปิดผลงานปี 65 รายได้จากการดำเนินงานเติบโต 25.42% จากปีก่อน
นายยุทธ ชินสุภัคกุล ประธานกรรมการ บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EP เปิดเผยว่าแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 มีแนวโน้มที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยตั้งเป้าหมายรายได้รวมปีนี้จะเติบโตมากกว่า 50 % โดยจะมีรายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในพอร์ตลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการติดตั้ง Solar Rooftop Solar farm และการขายไฟฟ้าให้เอกชนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากในปีนี้อัตราค่าไฟฟ้าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทำให้ความต้องการติดตั้งเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทฯ สามารถขายไฟฟ้าให้กับภาคเอกชนได้มากขึ้นด้วย
นอกจากนี้ โครงการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าที่ดำเนินการอยู่ประกอบด้วยโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศเวียดนาม จำนวน 160 เมกะวัตต์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียม COD กับทางการเวียดนาม ก็มีความชัดเจนมากขึ้น เนื่องจากการไฟฟ้าเวียดนาม ผู้ประกอบการกลุ่มโรงไฟฟ้า และหอการค้าไทย รวมถึงหอการค้าต่างประเทศอื่นๆ ได้เสนอความเห็นต่อรัฐบาลเวียดนามให้เร่งรับซื้อไฟฟ้าโดยเร็ว ส่งผลให้การเจรจาเรื่องอัตรารับซื้อไฟฟ้าใหม่ และการ COD จะมีข้อสรุปได้เร็วขึ้น
“ภาพรวมธุรกิจในปี 2566 คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นในทุกธุรกิจ โดยธุรกิจสิ่งพิมพ์คาดว่าจะมียอดขายเติบโตประมาณ 20% จากปีก่อน หลังสามารถปรับราคาขายได้ตามราคาต้นทุนที่สูงขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้นก็จะกลับสู่สภาวะปกติที่ประมาณ 15% ขณะที่ธุรกิจโรงไฟฟ้าน่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการรับรู้รายได้จากโครงการที่มีอยู่ในประเทศ ที่คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่า นอกจากนี้ ยังคาดหวังว่าจะได้รับรายได้จากไฟฟ้าพลังงานลมที่ประเทศเวียดนาม 160 เมกะวัตต์ โดยเร็วที่สุด เพราะตามตัวเลขทางเทคนิคที่ได้ศึกษาไว้ ชัดเจนว่า ทุกๆ 1 เมกะวัตต์ที่ติดตั้งของไฟฟ้าพลังงานลม จะสามารถจ่ายไฟฟ้าได้ถึงปีละ 3 ล้านหน่วย เราจึงเร่งรัดที่จะได้ข้อสรุปกับทางเวียดนามให้เร็วที่สุด” นายยุทธกล่าว
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้จากการดำเนินงานรวมทั้งสิ้น 877.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.42% จากปีก่อน โดยสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์มีรายได้ 681.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% และรายได้ทางตรงจากธุรกิจไฟฟ้า เพิ่มขึ้นกว่า 145% แต่เนื่องจากยังไม่มีรายได้จากโครงการไฟฟ้าพลังงานลมเข้ามา ทำให้บริษัทฯขาดทุนสุทธิ (ส่วนของบริษัท) เป็นเงิน 272.04 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจาก ดอกเบี้ยจ่าย จำนวน 261.33 ล้านบาท (โดย 250 ล้านบาท ใช้สำหรับลงทุนในโครงการลม) รวมทั้งมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง จำนวน 62.49 ล้านบาท ดังนั้น เมื่อโครงการลม COD แล้ว บริษัทก็จะพลิกกลับมามีกำไรเช่นที่แล้วมา อนึ่งถึงแม้บริษัทจะขาดทุนในปี 2565 แต่หนี้สินต่อทุน(D:E) กลับลดลงเป็น 1.12 เท่า จาก 1.19 เท่า และมีมูลค่าหุ้นตามบัญชี( Book Value) อยู่ที่ 4.08 บาท